แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" โดย ภาววิทย์

หนังสือที่ได้รับความนิยมใน Blog นี้

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ Microtrends


“Microtrends” เป็นหนังสือ แนวเจาะประเด็นความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนแปลงขึ้นใน “ตัวเรา” แต่เราไม่รู้ --มาบอกเรา ..ทำให้เรารู้สึกว่า “จริงๆ ..มันเป็นอย่างนั้นจริง” --Microtrends เป็นการ เจาะไปศึกษา ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมอเมริกา เช่น การขยายที่อยู่ของคนทำงานไปอยู่ชานเมือง แล้วก็ขับรถเข้ามาทำงานเป็นช่ัวโมง มันก็เป็น Pattern ของการเปลี่ยนแปลง ในการบริโภคน้ำมัน

ที่ใครๆพูดว่า คนอเมริกัน “Addicted to Oil” มันก็มาจากการที่คนอยู่บ้านที่ห่างกับที่ทำงาน จึงต้องใช้รถและนำ้มันอย่างมากมาย (แต่อเมริกาไม่ได้มีเมืองหลวงเพียงเมืองเดียวอย่างกรุงเทพ Trend นี้มันกระจายอยู่ทุกเมืองนั่นเอง)

ชีวิตการทำงานที่รีบเร่ง การสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้เรามีเวลากับ ความสัมพันธ์ Relationship เปลี่ยนไป …สิ่งเหล่านี้กระทบต่อ การแต่งงาน การเลือกคู่ หรือ พฤติกรรมชู้สาวในสำนักงาน (ซึ่งจริงๆแล้ว คุณอาจจะนึกว่า สิ่งแปลกๆที่คุณ(แอบ)ทำอยู่ มันเป็นเฉพาะคุณ การคบแฟนแบบแปลกๆ บางคน Open Relationship บางคนคบกันเพื่อบางอย่าง(ทำอะไรหรือ?) แต่นั้น “มันไม่ได้เกิดเฉพาะคุณ มันได้เกิดกับคนในวงกว้าง (เพียงแต่คุณไม่รู้)”

และการรวบรวบพฤติกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ในสังคมเหล่านี้ มันก็คือ สิ่งที่หนังสือ Microtrend ได้เข้าศึกษาสังคมอเมริกัน (ซึ่งน่าสนใจ และหลายๆอย่าง ผมว่ามันก็ได้เกิดขึ้น คล้ายๆกันในบ้านเรา) …ผมว่า ในอนาคตน่าจะมีหนังสือเล่มนึงที่เข้าศึกษาพฤติกรรมแปลกๆที่ส่งผลต่อ การใช้จ่ายและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ในบ้านเราบ้าง (เช่นที่บอกว่าคุณไปทำอะไร แปลกๆ ..การไปศึกษาว่า “ที่ไหน” มันก็สร้างธุรกิจ เพื่อรองรับ Trends ได้จริงป๊ะ !!)

มันคงจะสนุกดี ถ้าคุณสามารถเข้าใจ Trend ใหม่ๆของสังคม และสามารถเปิดธุรกิจเพื่อรองรับ พฤติกรรมนั้นๆ “ผมหมายถึงคุณจะรวย โคตรรวย!! หากคุณเข้าใจ สิ่งที่เปลี่ยนไปของ Trend สังคมนั่นเอง”

ในบ้านเราคุณสังเกตุไหมว่า “ผู้หญิงที่ทำงานเก่งในชุดทำงานแบบWhite Collar” แค่พูดผมเห็น “หลายๆคนน้ำลายไหล!! ทำไมเล่า!! …นี่แหละ Trend “Cougars” สาวใหญ่หน้าที่การงานดีในอเมริกา กลายเป็นจุดดึงดูดเด็กหนุ่มอเมริกันอย่างไม่น่าเชื่อ “นี่แหละ Trend กินเด็กในอเมริกา ---แต่เด็กมันก็อยากให้กินนะ” เอ๊ะ!! ผมว่า Trend นี่บ้านเราก็ … ไม่เบานะเนี่ย !! so interesting จริงๆง่ะ…..ไปอ่านต่อไป สนุกดี…

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ ANIMAL SPIRITS


"Animal Spirits" เป็นหนังสือ แนวนักสืบเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ อีกเล่มที่น่าสนใจ ..เป็นการมอง Economic โดยใช้ "สัญชาตญาณของสัตว์" เข้ามาร่วมคิด ---เพราะแนวความคิดของเศรษฐศาสตร์แขนงใหม่ มองว่า พฤติกรรมมนุษย์ จะส่งผลโดยตรง ต่อการตัดสินใจต่างๆ จึงทำให้ การวิเคราะห์และคาดการณ์ เศรษฐกิจและวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ มีความแม่นยำขึ้น

การคิด ทฤษฏี"สัตว์" จะมองที่ 5 ประเด็นหลักคือ
1.Confidence ความมั่นใจไร้สติของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการ คิด,ตัดสินใจ และแสดงออกอย่างมหาศาล

2.Fairness ความยุติธรรม ซึ่งเราก็รู้ๆ กันดีว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก --มันมีไม่รู้กี่มาตรฐาน ไม่ใช่แค่สังคม 2 มาตรฐานอย่างที่เราคิดกัน

3.Money Illusion คือ ความลวงตาของเงินที่ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะมองไม่ออกว่า แท้จริงเงิน มันสร้างขึ้นมาเพื่อลดมูลค่า ไม่ใช่เครื่องมือรักษามูลค่าอย่างที่เราคิดกัน!!

4.Corruption อันนี้ใกล้ตัวสุดๆ มันเป็นการโกงระดับชาติที่ส่งผลกระทบ ถึงคุณภาพของสิ่งต่างๆ รอบตัว เรียกได้ว่า "คนโกงนอนหลับสบายอิ่ม รวยพุ่ง!!-- ในขณะที่คนส่วนใหญ่รับผลกระทบที่เลวร้าย"

5.Stories คือ การผูกเรื่องราว ซึ่งมีผลสำคัญต่อการรับรู้ของคน เนื่องจากสมองคนมักจะรับสิ่งที่เป็นเรื่องราวได้เข้าใจมากกว่า ..มหาลัยดังๆอย่าง Harvard จึงเอาการเรียนแบบ Case study เป็นวิธีหลีกในการเรียนการสอนนั่นเอง

คนเขียนใช้ 5 ประเด็นหลักนี้มาเป็นเครื่องมือในการหาคำตอบของ คำถามที่น่าสนใจ เช่น ทำไมระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ/ ทำไมธนาคารกลางมีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจ(ในบางครั้ง)/ทำไมมีคนตกงาน/ทำไมภาวะเงินเฟ้อแปรผกผันกับอัตราการว่างงานในระยะยาว/ ทำไมการตัดสินใจออมเงินเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้/ ทำไมตราสารทางการเงินและการลงทุนภาคธุรกิจมีความผันผวน/ ทำไมอสังหามีทั้งขึ้นและลง และ ทำไมคนบางกลุ่มยากจนเป็นพิเศษ

จริงๆแล้ว คำตอบและคำอธิบายของทุกสิ่ง "คุณสามารถคิดได้โดยไม่ต้องเรียนก็ได้ " เพียงแต่คุณจะต้องเข้าใจความรู้สึกของคน(ซึ่งก็คือตัวคุณเอง)..การตัดสินใจของคนจะใช้ อารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้ง (และก็มักจะตั้งอยู่ใน 5 ประเด็นที่กล่าวมาทั้งสิ้น)เช่น การผูกเรื่องราวเน่าๆของนักการเมืองผีปากกล้า จนทำให้คนเลือกเขาเข้ามาเพื่อ โกงกิน ซึ่งจุดนี้ส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตโดยรวมของคนส่วนใหญ่ ..และความไม่เท่าเทียม จึงเป็นเครื่องสร้างความแตกต่างแบบสุดโต่งระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้นเรื่อยๆ ..การศึกษาที่ไม่สูงของคนทำให้ไม่เข้าใจมูลค่าของเงิน ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจ ออมและลงทุนอย่างไม่สมเหตุสมผล ก่อให้เกิด Cycle ของความต้องการ และความตื่นตระหนกของ Flow ของเงิน --"แต่ท้ายสุด มันก็กลับมาที่ตัวของมนุษย์เองที่สร้างและทำลายทุกสิ่ง"

หนังสือ Dhandao Investor




"ให้ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง"

"ให้ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง" เป็นคำแนะนำจากหนังสือ DHANDHO INVESTOR โดย Mohnish Pabrai

-- ผมได้อ่านคำพูดนี้แล้วรู้สึกว่าโดนมาก เพราะเขาบอกว่า เศรษฐีของโลก อย่าง ลักษมี มิลตาล เจ้าของ Mittel กิจการเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ แม้แต่ Carlos Slim (คนที่ล้มแชมป์รวยสุดในโลกจาก Bill Gates ในปีนี้)เองก็มีแนวคิดที่ว่านี้เช่นเดียวกัน

-- ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจ พออ่านๆไปจึงถึงบางอ้อ ว่า สาเหตุที่ควรลงทุน "ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง" เพราะการที่เราจะได้ซื้อหุ้นราคาถูก ย่อมเป็นช่วงที่นักลงทุนคนอื่นสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ สถานการณ์ ซึ่งแน่นอน เวลาที่หุ้นตกย่อมหมายถึง วิกฤตในขณะนั้น เช่น กลุ่ม PTT ช่วงที่มาบตราพุต โดนระงับ , กลุ่ม Telecom ช่วงที่มีการพาดพึงคดี เอื้อประโยชน์ คุณ ทักษิณ

แน่นอน การเข้าลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว ถือว่าไม่แน่นอน (กลัวกิจการเจ๊ง) แต่หากเราเข้าใจว่า แท้จริงๆแล้ว ธุรกิจที่เราลงทุนมีความเสียงต่ำ เราก็สามารถที่จะลงทุน

-- อย่าง PTT ถ้ามองให้ดี คือ ผู้ผูกขาดพลังงานของประเทศ ดังนั้น ไม่ว่าวิกฤตจะแรงแค่ไหน PTT ก็จะผ่านไปได้(เรียกว่ามีความเสี่ยงต่ำ) หรือ อย่างในกรณีของ ADVANC ผู้ให้บริการมือถือที่ใหญ่ที่สุด มีผู้ถือหุ้นมากมาย และมีเครือข่ายที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดในประเทศ ก็คือ ความเส่ียงต่ำ

ดัง นั้น ไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้าย ก็น่าจะผ่านไปได้ --- การเข้าซื้อในกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน(วิกฤต) ย่อมได้ ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากๆ และเป็นโอกาสที่จะได้กำไรสูงสุดนั่นเอง
คำถามที่เกิดขึ้นคือ "คุณกล้า ไหมล่ะ"

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ MADE TO STICK


เรื่องเล่าตั้งแต่ โจรขโมย “ไต”ของชายคนหนึ่งที่ เผลอดื่มเหล้าหลับไป ตื่นมาอีกที “ไตของเขา ถูกขโมยไปเสียแล้ว !!” โดย โจรขโมยตับ

“ไขมัน”ที่อยู่ใน “ป๊อบคอร์น แต่ละถุง มีมากเท่ากับ “ไข่ดาวหมูแฮมในมื้อเช้า บวกกับ Big Mac บวกกับเสต็กมื้อเย็นรวมกัน” (บ้าไปแล้ว!!)

พวกนี้แหละครับที่เขาเรียกว่า MADE TO STICK คือ ใครได้ยินได้ฟัง จะ “สนใจ” เรียกได้ว่า “โดน!!” …เรียกได้ว่า เรื่องราวในโลกมีอยู่มากมาย ----แต่เรื่องราวที่จะ “สะกิดต่อมความสนใจ และขายได้ มันไม่ได้มีมาก”
---คำทำนาย นอสตราดามูส ผ่านมาสี่ร้อยปี ยังกล่าวขานกันจนปัจจุบัน ..หรือ เนื้อไก่ที่เอามาทำ นักเก็ต ของ แมคโดนัลด์ ที่โยนไก่ทั้งตัวเข้าเครื่องบด แล้วก็ ปั้นเป็นก้อนมาให้เรากิน …”เรื่องเหล่านี้ เตะต่อมความสนใจ ซึ่งนับเป็นการ โปรโมท หรือ ทำลาย สินค้าได้อย่างดี”

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่ การยก Case study ของ บริษัทที่สามารถสร้างสินค้าแบบ Made to stick (ให้ติดได้..) หลักการสำคัญที่ผู้เขียน สกัดออกมาเป็น ขบวนการ(ทำให้ติด)มี 6 ข้อคือ

1. (Simplicity) คือ Idea มันต้อง “ง่าย” อย่างเรื่องขโมยไตใครๆก็เข้าใจ แต่ลองเอาหัวข้อบรรยายของ ดร.ในมหาลัย ยกขึ้นมา …ก็ งง กันทั้งแถบล่ะผมว่า

2. (unexpectedness) คือ มันต้อง “ตื่นเต้น คาดไม่ถึง” เช่น นักเก็ตไก่ของ แม็ค มันบดไก่ทั้งตัว (จริงไม่จริงไปว่ากันทีหลัง..เอาความ “ตะลึงว่ากันก่อน)

3. (Concreteness) คือ “ชัดเจน” เพราะส่วนมาก Idea มันจะ (อึมคลึม) อย่างเวลาไปฟังบรรยาย “แล้วหาว” นั่นแหละ มัน อึมครึมจนง่วง..

4. (Credibility) นี่เป็น “ศาสตร์ของการทำให้เชื่อ” ..ความเชื่อไม่จำเป็นต้องเป็น Fact หรือ ความจริง มันอยู่ที่ผู้สื่อสาร และวิธีการสื่อสารมากกว่า ดังนั้น ตรงนี้ผมว่ามันต้องใช้การฝึกฝน อย่างโอบามาพูดอะไร คนคล้อยตามหมด หรือ อย่าง Oprah ยกสินค้าอะไรมาพูดในรายการ Talk show ..ขายดีหมด นี่แหละแจ๋ว

5. (Emotion) คือ สร้างให้เกิด “อารมณ์” ..ไม่ใช่ทะลึ่งนะครับ …มันคือ อารมณ์ร่วมใน ข้อความที่สื่อสาร เช่น การยกตัวอย่างของ ป๊อบคอร์น ในโรงหนังที่ บอกว่า มีไขมันบรรจุเท่ากับคุณกินอาหารมันๆทั้งวัน รวมกัน “นี่แหละครับ พอสาวๆฟัง ก็มีอารมณ์ …สยองในป๊อบคอร์นทันที”

6. (Stories) คือ Idea หรือ สินค้า จะน่าสนใจหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับ การถ่ายทอด ซึ่งธรรมชาติของคน ชอบเรียนรู้ผ่านเรื่องราว ดังนั้น ใครทำเรื่องราวของ Idea หรือ สินค้าได้น่าดึงดูด มันก็จะ (Stick) นั่นเองครับ


นี่แหละครับคร่าวๆ ส่วนใครชอบต่อยอดไปซื้อหนังสือมาอ่านดู (ผมสนับสนุนการอ่าน สำหรับสังคมไทย ..หลายคนกลัวว่าซื้อมาไม่มีเวลาอ่าน ผมว่าผิดประเด็นนะ เพราะจริงๆ มีเวลาเราก็ค่อยๆอ่าน ไม่ต้องอ่านต่อเนื่องให้จบ เปิดตรงไหนของเล่มมันก้ให้ Idea ทั้งนั้น ..”หนังสือมันคือ สมุดรวมความคิดและประสบการณ์” ดังนั้น อย่าไปยึดติดกับ สารบัญ แล้วคุณจะอ่านหนังสือสนุกขึ้นครับ) …และหลังจากหนังสือ ผมแนะนำไปต่อยอดที่ Blog ของคนเขียนหนังสือ ก็จะมีอะไรใหม่ๆเพิ่มเติม

หนังสือ Outlier


ผมอ่านหนังสือ "Outliners - ของ Malcolm Gladwell" เขาพูดถึงเรื่อง ความเก่งหรือ การเป็นมืออาชีพ ได้อย่างน่าสนใจมาก เขายก "กฎของ 10,000 ชม." คือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา เต้น ร้องเพลง คือ ทั้งหมดนี้มีเส้นแบ่งระหว่าง"มือสมัครเล่น" กับ "มืออาชีพ" ก็คือ 10,000 ชั่วโมงแห่งการซ้อมนี่แหละ -- ในระบบการเรียน คือ ใครจะเป็น Doctor ได้ต้องเรียน 3 -5 ปี ขึ้นไป ซึ่งถ้านับก็ประมาณ 10,000 ชั่วโมง นั่นเอง

ผมอ่านประวัติ นักร้อง หน้าตาธรรดาคนหนึ่งที่ชื่อ "Rain" คือหน้าตา สุดธรรมดา "ไอ้ตี๋ดีๆนี่เอง--แต่สาว กรี๊ดสลบ..." พออ่านก็รู้สึกนับถือ ในความมุ่งมั่นที่เขาทุ่มเทชีวิตในวัยรุ่นทั้งหมดให้กับการเต้นและร้องเพลง (ซึ่งถ้านับก็ประมาณ 10,000 ชั่วโมง นั่นเอง) ทำให้เขากลายเป็น นักร้องที่ดังสุดๆ

-- ผมมองว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จ ยิ่งต้องเกิดจากการ ((--ย่น 10,000 ชั่วโมง ให้ถึงเร็วที่สุด !!!)) คือ ถ้าเราฝึกได้วันละ 15 ชัวโมง ต่อวัน(ไม่มีหยุด 365 วัน) เราจะต้อง อุทิศ 2 ปี เต็มๆให้กับการฝึก

--ยิ่งถ้าการฝึก..มีครูที่ดีด้วย เช่น เราเต้นโดยมีอาจารย์ที่เก่ง หรือ ไปฝึกกับพวก นิโกร อยู่กิน เต้น แร็พ ตลอดสองปี "คุณอาจเป็น Rain!!! ก็ได้" ฮ่า ฮ่า...

(ผมชักอยากเป็น Rain แล้วซิ ...แต่ไม่รู้จะอึดได้ 15 ชั่วโมงต่อวัน ตลอด 2 ปีเต็มได้หรือไม่ "น่าคิดจริงๆ") แต่จริงๆ ก็อยากเป็น Tiger Woods เหมือนกัน แต่คงยากเพราะ Tiger Woods เขาโดนพ่อทรมานมาตั้งแต่ 2 ขวบ ฝึก 10 ชั่วโมงต่อวัน ตลอด 20 ปี ไม่มีวันหยุด เท่ากับว่าตอนนี้ ชั่วโมงการฝึกสะสมของ Tiger ได้เกิน 80,000 ชั่วโมงไปแล้ว --นั่นเท่ากับว่า ไม่มีใครในโลกที่จะฝึกได้เท่ากับ Tiger ในอายุที่เท่ากัน และนี่จึงทำให้ Tiger เป็นที่หนึ่งของโลก

-- วิธีที่จะทำให้ได้แบบ Tiger คือ คุณต้องเริ่มทรมานลูกคุณตั้งแต่ 1 ขวบ (ก่อน Tiger 1 ปี) และบังคับให้ลูกคุณตีกอล์ฟ วันละ 10 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 20 ปี (ห้ามมีวันหยุด ..ถ้าหยุดเอาแซ่ฝาดหลัง !!!!)... ดังนั้นเมื่อลูกคุณอายุ 21 ปี เขาก็จะมีชั่วโมงการซ้อม 73,000 ชั่วโมง ผมเชื่อแน่ว่าด้วยชั่วโมงการซ้อมขนาดนี้ ไม่ว่าคุณ เลือกให้ลูกคุณเป็นอาชีพอะไร เขาก็จะเป็นที่หนึ่งของโลก ในอาชีฟนั้นๆอย่างแน่นอน

ผมเขียนมาถึงจุดนี้ เริ่มรู้สึกว่าโลกนี้มัน"บ้า...บ้า...บ้า" คือ ไม่มีอะไรที่ได้มา โดยที่เราไม่เสียอะไร จริงไหม --- ทุกอย่างล้วนแลกมาด้วยอีกสิ่งที่เสียไป

.... ดังนั้น ชีวิตแต่ละคนจึงต่างกัน อยู่ที่คุณเลือกเอง (แต่ใน Case ของ Tiger พ่อเขาเลือกให้เขา ตั้งแต่ 2 ขวบ จากนั้นเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็เลือกที่จะทำมันต่อ และนี่เป็น The Making of Champion

--- ดังนั้น "เราๆท่านๆ ไม่ต้องเสียใจหรอกครับ ที่ไม่ได้เป็นที่หนึ่งของโลก ในด้านใด เพราะนั่น หมายถึงความทุกข์ระทม ขมขื่น ขาดชีวิต ที่คนปกติมี )......ผมถามว่า จากนี้ คุณจะเลือกอะไร -- และคุณจะเลือกอะไรให้ลูกคุณ ??? ...น่าคิด....

หนังสือ" Mandela's Way" ที่นายกอภิสิทธ์อ่าน


"ประวัติศาสตร์สร้างวีรบุรุษ หรือ วีรบุรุษสร้างประวัติสาสตร์" คือแค่ประโยคนี้"ก็โดน" คือมันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผมเลย เพราะผมไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษหรือ เป็นประวัติศาสตร์ แต่คุณ อภิสิทธิ์ไม่แน่ เพราะคุณอภิสิทธิ์อาจอยากเป็น "มะเร็ง"บ้าง เพราะ "เครียดแตก" ไม่รู้ว่าจะ ผ่าปัญหาทางการเมืองไทยอย่างไร ...เอาเป็นว่านั้นเป็นปัญหาของ "นายก"

--ผมว่าที่น่าสนใจกว่าคือ "เนลสัน แมนเดลา" (ประธานาธิปดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันดิภาพ และเป็นบุรุษที่ทั่วโลกยกย่องต่อการต่อสู้ปลดปล่อยแอฟริกาใต้ ด้วยสันติวิธี) สิ่งที่น่าทึ่งในตัว"แมนเดลา"คือ เขาติดคุกถึง 27 ปี ดังนั้น สิ่งต่างๆที่เขาสำเร็จและได้รับการยกย่อง คือ ภาพหลังที่เขาออกจากคุกในวัย 70 กว่าปีแล้ว

--ภาพที่เราๆไม่เห็น คือ การติดคุกกว่าครึ่งชีวิตทำให้แม่ของเขามองว่าเขา เป็นคนขี้คุก และแม่ของเขาก็เสียชีวิตตั้งแต่ เขายังอยู่ในคุก นั่นหมายความว่า ภาพที่เขาสร้างให้แม่เขาเห็นเป็นเพียงภาพความผิดหวัง ไม่ใช่ภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เราทุกคนเห็น

จุดที่น่าสนใจคือ ชีวิต เราต้องการให้คนที่เรารักเห็นว่าเราสำเร็จ หรือ เราอยากให้คนอื่นเห็นมากกว่า ..ผมว่าประเด็นนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง --คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก ภายหลังจากที่ พ่อแม่ จากไปเสียแล้ว เช่น Rain นักร้องเกาหลีที่สำเร็จสูงภายหลังจากที่แม่เขาตายไปแล้ว

--- แต่ก็มีอีกหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ พ่อแม่ ยังมีชีวิตอยู่ อย่าง Bill Gates ก็ใช่ อย่าง ผู้ก่อตั้ง Facebook มาร์ค ซุคคาเบิกค์ ก็ใช่ เพราะเขาเป็นเศรษฐีในวัยยี่สิบต้นๆ ..สิ่งที่"แมนเดลา" ได้กล่าวไว้ว่า "ชีวิตนั้นยาวไกล" เป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก เพราะแท้จริงแล้วความสำเร็จของแต่ละคนไม่สามารถกำหนดได้ ว่าคุณจะสำเร็จเมื่อใด จากตัวอย่างที่กล่าวมา บางคนก็สำเร็จแต่ยังหนุ่ม (แต่ตอนแก่ อาจตกอับก็ได้)

บางคนสำเร็จในบั้นปลาย เช่น "แมนเดลา" หรือ แม้แต่ "อองซาน ซูจี" ซึ่งตอนนี้ก็ยังสู้อยู่ ..เราไม่อาจกำหนดได้ว่า คนที่เราอยากจะโชว์ความสำเร็จ จะได้เห็นความสำเร็จของเราหรือไม่ ---ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถกำหนดอะไร เราจึงไม่ควรอยู่เพื่อ"ความสำเร็จ"

--หลายท่านอาจจะ(งง) ว่า ถ้าไม่อยู่เพื่อความสำเร็จเราจะอยู่เพื่ออะไร ..และนี่เองคือ ตัวปัญหา --ผมว่ามนุษย์เรามุ่งสร้าง"ความสำเร็จ" โดยลืมนึกไปว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร --หลายคนบอก"ผมเกิดมาเพื่อเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แต่จะมีสักกี่คนที่จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ...โลกนี้มีคนเป็นพันล้าน ..ทุกคนล้วนอยากรวย อยากยิ่งใหญ่ อยากมีอำนาจ --ผมถามหน่อยว่าปัญหาที่แท้จริง มันคือ คือ "ความอยากมี"จริงไหม ที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ เป็น"มะเร็ง"

วันนี้เรามอง คุณอภิสิทธิ์ คุณทักษิณ คนนึงมีอำนาจ คนนึงมีเงิน แต่ทั้งสองคนก็ล้วนไม่สามารถได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ..แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่ เขาสร้างการแตกหัก สร้างความเดือดร้อน --- จริงๆแล้วผมว่า วันนี้มนุษย์เรา ก้าวเกิน "ความพอดี" ปัญหามันอยู่ที่การแสวงหาเงินทองและอำนาจ จนเกินความจำเป็น สุดท้าย คนได้อยู่บ้านหลายร้อยล้าน (ไม่ใช่คุณ) แต่กลายเป็น "คนรับใช้" ....คนที่ได้ขับ Roll Royce คันงามสุดแพง (ไม่ใช่คุณ) แต่เป็น"คนขับรถ" ..พ่อแม่หลายคนหาเงินยากลำบาก เพียงเพื่อให้ลูกเอามาผลาญ -- แล้วความ"พอดีมันอยู่ตรงไหน"

คุณมี 20 บาท ก็อิ่มได้ ...ถ้ามีพันบาท ก็อาจได้กินของแพง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันอร่อยกว่าอาหาร 20 บาท หรือ มื้อละหมื่น..บางทียังอร่อยสู้ ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ไม่ได้ และมัน"เพื่ออะไร" ยิ่งรวยกินของดีๆกลับอ้วน ท้ายสุด ไม่ได้ดี "อ้วน..น่าสมเพศ ..เป็นโทษไปอีก"

อ้าว..นอกเรื่องไปเยอะ กลับมาที่ "แมนเดลา" จริงๆคนผิวดำ อายุไม่ค่อยยืน พูดง่ายๆว่า อายุ 70 กว่าที่รุ่งสุดๆของ "แมนเดลา"เป็นอายุที่คนผิวดำส่วนใหญ่ตายไปแล้ว --ผมไม่เชื่อว่า 27 ปีในคุกของแมนเดลา เป็นชีวิตที่มีความสุข ถ้าดูให้ดี ช่วงเป็น ประธานาธิปดีตอนแก่ ก็ใช่ว่าจะมีความสุข

--สรุปทั้งชีวิต "แมนเดลา"ที่หลายคนยกย่องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าตัว กลับหาความสุขไม่ได้เลย --ผมว่าชีวิตมันคือทางเลือก หากคุณเลือกด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป คุณก็จะเสียอีกด้านอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ คนรวยมากๆ เขาต้องแลกกับชีวิต ที่หลายคน ไม่เลือกเดิน

..ดังนั้น ผมว่า การเดินทางสู่"ความยิ่งใหญ่"กลับเป็นคนทางที่ "สวนทางกับความสุข" ...ซึ่งไม่ว่าทางใด สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน คือ ตาย ---มันคงจะไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ที่ทั้งชีวิต เราจะเลือกแบบ "แมนเดลา" หรือ "อองซาน ซูจี" ที่สู้ เดี๋ยวเข้าคุก แล้วก็สู้ แล้วก็เข้าคุก

... ผมเลือกที่จะเดินในทางที่ผมมีความสุข ไม่จำเป็นว่าทางนั้นจะนำเราไปสู่ผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่ก็ตาม ..ความสุขที่เราเข้าใจมักเป็นความสุขจาก"การให้" ไม่ใช่"การครอบครอง การมีรถหรู หรือบ้านแพง จึงไม่จำเป็นในการครอบครอง เพียงแค่ได้ลองก็อาจเพียงพอ การกำหนดชีวิตให้ลูกหลานอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการ มันเป็น"ความสุข"หรือ "พันธนาการ"กันแน่..ทางใครทางมัน (เราเลือกเอง).... แต่ก็ไม่ควรกำหนดให้ใคร....

หนังสือ The Ascent of Money


ผมเพิ่งอ่าน "The Ascent of Money - Niall Ferguson"อ่านไปอ่านมาก็พลิกไปอ่านบทสุดท้าย ไปโดน บทปิดเกี่ยวกับนิยามความหมายของ"ตลาดเงิน" --คือ โดยปกติตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยนึกเอะใจเลยว่า "เงิน คือ อะไร" แล้วทำไมเราต้องการมันมากๆ และก็ทำไม เงินสำหรับบางคนช่างหายาก"สุดๆ"

แต่สำหรับบางคนก็หาเงิน ง่ายๆ..."ทำไม" -- ไอ้คำพูดที่โดนมากๆจากหนังสือคือ การนิยามว่า ตลาดเงินเปรียบเสมือนกระจกที่ใช้สะท้อนถึง "การให้ค่าตัวเรารวมทั้งทรัพยากรที่เป็นประโยชน์รอบตัว"(งง) --ตอนแรกอ่านแล้วไม่เข้าใจ((มันลึก!!)) แต่พอนึกๆ ก็เริ่มเข้าใจ

... ยกตัวอย่างสมัยก่อน คุณเป็นเจ้าของที่ดินเยอะ ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีการพัฒนาเกิดบนที่ดิน--ที่ดินก็ไม่มีค่า ดังนั้น ก็"ไม่มีราคา" หรืออย่าง สมัยก่อน เป็นเจ้าของที่ดินที่มี แร่ยูเรเนียม ของประเทศออสเตรเลีย(ใครไปจับ"หินแร่"ก็เกิดเป็นโรคร้าย) กลายเป็นถูกมองว่า "เป็นผืนดินที่ถูกเทพเจ้าสาบไว้" แต่ปัจจุบัน พอมีการคิดค้น นิวเคียร์ กลับทำให้ แร่ยูเรเนียมมีคุณค่าขึ้นมาทันที จะเห็นได้ว่า การให้ค่าด้วย"เงิน" เป็นปัจจัยที่กำหนด สิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของมนุษย์นั่นเอง ตัวอย่างล่าสุด เช่น Google จะไม่มีค่าเลย หากคนเล่น Internet ไม่ได้มีมากมายขนาดนี้

ดังนั้น คนที่รวย เช่น Bill Gates ก็คือ คนที่สามารถเป็นเจ้าของ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ( OS คืออะไรวะ ปัจจุบันหลายคนยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ Bill Gates เขาผูกขาด ทุกคนต้องใช้ "รวยเลย"ว่างั้น..)--หลายคนอาจมองว่า "ง่ายๆ" แต่จริงๆมันไม่ง่าย --เพราะถ้ามันง่าย คนอื่นเขาก็เอา"ทรัพยากร"นั่นไปครอบครองหมดแล้ว ไม่เหลือถึงเราแน่นอน

-- ดังนั้น แสดงว่า การที่เราจะครอบครอง"ทรัพยากร" ได้มากมายในขณะที่คนอื่น"ไม่รู้" แสดงว่า "ทรัพยากร"นั่นๆ.. คนอื่นมองว่า "ไม่มีค่า" นั่นเอง --- (ฮ่า ฮ่า) แล้วอะไรล่ะที่ ดู"ไม่มีค่า"ในวันนี้ และมัน "มีค่า" ในวันข้างหน้า.. หลายคน(เริ่มคิด คิด...อะไรล่ะ)-- (ใช่แล้ว) --- ที่ดิน รกร้างในต่างจังหวัด "((หนองปรุ))-- อำเภอที่แห้งแล้งสุดในอีสาน ใช่ป่ะ

คือ ถ้าโชคดี ถนนอาจตัดผ่านที่ดินคุณ(จริงๆแทบเป็นไปไม่ได้) นอกเสียจากคุณเป็นรัฐมนตรีกระทรวง คมนาคม แล้วสั่งให้ตัดถนนผ่านที่คุณ ฮิ ฮิ... ไร้สาระ" --แต่ก็จริง "ที่ดิน" หลายที่คนมองข้าม แต่ท้ายสุดมันกลับมาแพงสุด

อย่าง"คุณตา"ผม ซื้อที่ไว้กลางนา ไกลเมืองสุดๆ อยู่แถว"รามอินทรา" ตั้งแต่ไร่ละร้อย (คุณลองนึกดู) ตอนนั้น ตาผมกะซื้อ ทิ้งๆ เพราะที่ดิน ถูกเป็น"ขี้" (สมัยก่อนพลเอกชาติชายเป็นนายก ที่แถวสุขุมวิท ยังไร่ละไม่กี่หมื่น ตอนนี้กี่ร้อยกี่พันล้าน) เอาเป็นว่า ไอ้ที่นั้น ปรากฏว่าวันดีคืนดี มีนายทุนใหญ่(บริษัท SC ASSET มาซื้อที่ใกล้กัน) และแล้วถนนใหญ่ก็ตัดผ่านที่ จากไร่ละร้อย ก็กลายเป็น ไร่ละหลายสิบล้าน --ขำไหม "ดวงครับ"

ลองนึกต่อว่า ถ้าซื้อที่ดินในวันนี้ แล้วในอนาคตจะ รวยได้เหมือน "คุณตา" ผมไหม --(ผมว่าฝันๆๆ) เพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะที่ดิน เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่สมัยคุณ ชาติชายมาเป็นนายก ก็มีการปั่นราคาที่ดินเป็น "ล้านๆเท่า" และแล้ว ราคาที่ก็ไม่ได้ปรับลงไปจุดเดิมอีกเลย --(อ้าว คราวนี้ จะเหลืออะไรอีกที่คนอื่นมองว่า "ไร้ค่า"ในปัจจุบัน และมัน(อาจ)มีค่า"มากมาย"ในอนาคต.....(คุณว่าอะไร)---"หุ้นไง" .........

หนังสือ Maxed Out ไวรัสการเงินของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว



"Maxed Out"คือ หนังสือขายดีของ James d.scurlock ผมเคยอ่านนานแล้ว เกี่ยวกับ "ความร้ายกาจของธุรกิจการเงินที่มีต่อสังคม" จะว่าไปแล้วผมก็ทำงานธนาคาร..เอ๊กๆ!!(แต่ไม่เกี่ยว ผมไม่ใช่เจ้าของ จึงพูดได้ หุ หุ...) ..เรื่องมีอยู่ว่า ธุรกิจการเงินแท้จริงแล้วสามารถสร้างและทำลายคนได้ เนื่องจากปัจจุบัน"แม้แต่คนที่มีการศึกษา"ยังตกเป็นเครื่องมือของ"เหยื่อล่อ ..ทางการเงิน"สิ่งนั้นก็คือ "ความโลภ"นั้นเอง

สมัยก่อนเรามักถูกสอนโดย "ปู่ย่าตายาย"ว่าอย่าสร้างหนี้ จงใช้จ่ายแต่พอตัว ..สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย"เอาของที่คุณอยากได้ไปก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง" ประเด็นปัญหามันอยู่ที่"หนี้"ที่คุณสร้างมันไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มันเป็น"หนี้ทวีคูณ" --เพราะ"ดอกเบี้ย"ของสินค้าเหล่านี้อาจดูน้อยๆ..ผ่อนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่พอคำนวณเข้าจริง"มันเกือบเท่าตัว" ...ปัญหาหนี้เหล่านี้มีรากเหง้าจาก ประเทศที่"ศิวิไลทางการเงิน"อย่างอเมริกาที่คิด Product ทุกรูปแบบ ตั้งแต่คุณอยู่โรงเรียนก็ออก "Debit Card"ให้ พอคุณอยู่มหาลัย แทนที่จะให้เราจ่ายเงินสด..กลับปลูกฝังให้เราจ่ายผ่านบัตร พออายุถึงเริ่มทำงานก็ส่ง "Credit Card" มาให้ ..พอสักพักก็ส่ง "Car Loan" ตามด้วย "Home Loan" ..นี่แหละครับหลักการ Maxed Out คือ"ปลอกลอกคุณ"--ให้เป็นหนี้ให้มากที่สุด บวกดอกเบี้ยอีกหัวบาน และท้ายสุดก็รวมหนี้คุณเป็นก้อนเล็กๆ --"ให้คุณผ่อนจ่าย(ชั่วชีวิต)"

เดี๋ยวนี้เด็กหลายๆคน จ่าย Credit Card แค่ Minimum Required โดยไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริง"เขาจ่ายเกิน(ราคาของ)ไปกี่เท่าตัว" อย่างบัตร Credit แท้จริงคือ"การสร้างนิสัยแห่งการเป็นหนี้ชั่วชีวิต" และสังเกตุไหมว่า ถ้าคุณจ่ายผ่านบัตร "คุณจะควักจ่ายง่ายกว่าเงินสด" และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำไมธนาคารอยากให้คุณทำบัตรเครดิต ..ผมว่าคุณน่าจะเอะใจบ้างว่า ทำบัตรเครคิตใบเดียว แถม"ของมาสิบอย่าง".."ธนาคารเขาไม่โง่หลอกครับ..ทุกอย่างที่ให้คุณ เขารู้ว่าเขาจะเอาอะไรจากคุณ!!" So Nothing is Free in this World !!

หัวใจความสำเร็จของ Maxed Out คือ พยายามให้คุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด แต่พยายามให้คุณผ่อนให้นานที่สุด (สรุปคือคุณผ่อนแต่ ดอกเบี้ย เงินต้นทบไปเรื่อยๆ ..จนวาระสุดท้ายของชีวิต --"น่ากลัว!!") คุณรู้ไหมเขาขายบัตรเครดิตอย่างไร (ง่ายๆ) ผมก็บอกคุณว่า "พี่ครับ!!บัตรเครดิตนี่สุดยอด พี่คิดดูนะ..มีที่ไหนแต่ละเดือน ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายมาให้คุณ ฟรี!! เหมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ..สมมุติพี่มีบัตรเครดิตหลายใบ พี่ก็แบ่งแต่ละใบ เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ..เท่านี้พี่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายในบ้านทั้งหมด ..พอปลายเดือนธนาคารก็สรุปเป็นStatement มาให้พี่(ฟรี) รายปีไม่ต้องจ่ายอะไร ..สมัครตอนนี้พี่เอาไปเลย "พัดลม Samsumg" ..สรุป คุณ(งง) อ้าปากค้า สมัครทันที" ก็นี่แหละ ชีวิต!!

"Home Loan" นี่ตัวแรงเลย ..มัน American Dream คือสร้างฝันให้ทุกคน"ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง "พอจุดฝันนี้ติด"--Demand มหาศาลของบ้านก็เกิดขึ้น ..พอ Demand มาก ราคาก็"พุ่ง"--ยิ่งพุ่งคนก็ก็ยิ่งซื้อ --ปั่น Bubble กันเข้าไป (รอบ Sub-prime ที่ผ่านมา)เขามีการสร้างแนวคิด การลงทุนในบ้านอย่าง"สวยหรู" เช่น ทุก 7 ปีราคา"บ้านจะทบต้น"....ถามจริงๆเถอะ คุณเชื่อไหม?? --ราคาบ้านมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ดูตอนนี้ซิครับที่อเมริกา บ้านราคาตกเอา ตกเอา ก็เพราะ Demand มันไม่มี "มีแต่คนจะขายใช้หนี้"ราคาก็ตกเรื่อยๆ แต่หนี้ไม่ได้ตกตาม สรุป (คุณก็จ่ายหนี้ต่อไป)

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผม Anti ระบบ"ธนาคาร" --"ไม่ใช่ครับ" ผมเพียงแต่เตือน ให้ทราบถึงสิ่งที่อยู่"เบี้องหลัง" ..การค้าทุกประเภทล้วนมุ่งหวังกำไร --ไม่มีอะไรดีสุดๆ "อะไรที่มันดูเหมือนว่าดีเกินจริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเกินจริงนั่นเอง" ...ปัจจุบันเราถูกสอนให้มีทุกอย่างที่คนอื่นมี ถ้าไม่มีเงินก้ไปกู้มามี .."แนวคิดต่างหากที่เป็นปัญหา" ..พฤติกรรมของคน มันได้บ่งบอกอยู่แล้วว่า "คนที่จะรวยหรือจน" ดังนั้น มันไม่ใช่โชคชะตา มันขึ้นอยู่กับ"คุณ"ต่างหาก

ผมเคยอ่านหนังสือของ Rich Dad Poor Dad ที่เขาสอนว่ามีทั้ง Good Debt และ Bad Debt คืออะไรที่"กู้เพื่อไปสร้างรายได้ก็เป็นสิ่งที่ดี(Good Debt)" แต่ถ้ากู้ไปซื้อของไม่จำเป็นก็เป็น Bad Debt --ตัวผมเองสมัยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย ก็เอาบ้าง ผม Maxed Out บัตรเครดิตผมที่มีอยู่ ประมาณ 6 ใบ จากนั้นผมก็ไป กู้ธนาคารเพิ่มเพื่อขยาย"สาขา"ร้านอาหาร

..สรุปได้ว่าผม Leverage อย่างมหาศาล ตามตำรา MBA พอทำเปิดได้ ผมก็เริ่ม"ตึง"คือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไหนจะหนี้ธนาคาร ไหนจะหนี้บัตรเครดิต ผมเลยคุยกับลูกน้องว่า "เอางี้ผมจะให้ Stock Option คุณ" ..(พูดง่ายๆคือ ผมไม่มีเงินจ่าย เลยจะให้เขาเป็นหุ้นส่วน แบบที่นิยมใน ​Silicon Valley น่ะครับ) สรุป "เน่าครับ"ร้านนั้นปิดไปเลย ได้ฮา..น้ำตาแตก --ผมถึงบอกว่า "ตำรากับชีวิตจริง" มันหนังคนละม้วน ... นี่แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเก่งระดับผู้ประกอบการก็ใช้ว่า Maxed out จะหลอกคุณไม่ได้ ---"มันอยู่ที่คุณ It's Only you" หุ หุ.....

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ The Snowball


หนังสือเล่มนี้เป็น การเจาะลึก"ที่มาของ The Omaha" สุดยอด Value Investor ของโลก Warren Buffet นั่นเอง...ก่อนอื่นต้องบอกว่า เป็นหนังสือที่เจาะลึกประวัติของ Buffet อย่างละเอียดมาก ตั้งแต่วัยเด็ก จนรวยสุดๆในปัจจุบัน "ขอ บอกว่าหนังสือหนามาก!!" ..แต่อ่านสนุกเหมือนอ่านนิยาย ..Buffet เริ่มลงทุนตั้งแต่หนุ่มๆ โดยเป้็นลูกมือ(และลูกศิษย์) ของ Gra้ham ที่เขายกย่องว่าเป็น อาจารย์สอนหลัก Value Investor ให้แก่เขา

แต่แท้จริงแล้ว Graham เกษียณอายุตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่ม(เนื่องจาก Graham มองว่า ณ เวลานั้น ตลาดมันสูงเกินไปแล้ว) แจ่จุดที่ Graham มองว่าตลาดแพงไปแล้ว "มันนังเป็นแค่ช่วงจุดเริ่มต้นในอาชีพของ Buffet เท่านั้น!! ... นั่นหมายความว่า Buffet ร่ำรวยจากตลาดที่ Graham ไม่คาดคิดมาก่อน!!

หลังจากที่ Buffet แยกจากอาจารย์ Graham ...เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาลงทุนตามความเชื่อ ...ในช่วงแรกๆของชีวิตเขาไม่สามารถจะหาคนมาลงทุนด้วย "เพราะเขาไม่ค่อยมีชื่อเสียง" จึงเป็นแค่การลงทุนสำหรับ คนวงในที่พอจะรู้จัก ..หลังจากนั้นแค่สิบปี เขาก็สามารถพิสูจน์ฝีมือ จนมีคนเอาเขาไปเขียนเป็นหนังสือสุดยอดนักลงทุน..โห !! (จังหวังนั้น Buffet ก็เลิก Partnership ของเขา "คืนเงินนักลงทุน..แล้วพักอยู่ช่วงนึง" ...

The making of Buffet จริงๆ มันเกิดหลังจากที่เขาลงทุน "ครั้งที่สอง" ..และจากประสบการณ์และ Performance Record ของเขา-- ก็ทำให้ The Second Act ของเขาสามารถหานักลงทุนได้ไม่ยากนัก ..เขาใช้วิธีการคิดค่า"จัดการที่ไม่เหมือนใคร" ซึ่งทั่วไป Fund Manager จะคิดค่า Fee จากเงินต้นเช่น 2% (ตายตัวไม่ว่ากำไรหรือไม่ก็ตาม)--

แต่ Buffet ใช้คิดจาก "ผลกำไร คือ ถ้าเขาไม่สามารถทำกำไรเกิน 6%(ดอกเบี้ยพันธบัตรเวลานั้น)-- เขาจะไม่คิดค่าบริหารเลยสักแดง!! "เขาคิดค่าบริหารจาก กำไร..ไม่ใช่จากเงินต้น และนี่คือความแตกต่าง"(แต่ปัจจุบัน Hedge Fund คิดทั้ง Fee จากเงินต้น 1-2% รวมทั้งคิดอีก 20% จากกำไร "จะไม่รวยได้ไงครับนี่"..ถ้า Buffet คิดค่าบริหารกองทุนเหมือน Hedge Fund ป่านนี้เขารวยกว่า Bill Gates ไม่รู้กี่เท่าแล้ว...หุ หุ...)

ตลอดระยะเวลา 40 ปีต่อมา Buffet สร้างผลตอบแทนทบต้นเกิน 25% ต่อปี ซึ่งเป่็นสถิติยาวนานที่ไม่มีนักลงทุนคนใดในโลกเทียบติด "การคิดค่าบริหารจากกำไร"--กลับทำให้ Buffet ได้เงินมากกว่า...และจุดนี้ทำให้เขา"รวยสุดๆ"

หลักการลงทุนของ Buffet ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือ "ซื้อกิจการอนาคตมั่นคง ที่ธุรกิจเข้าใจง่าย ในจังหวะที่หุ้นต่ำกว่า ราคาที่ควรจะเป็น" ซึ่งท้ายสุด "เขาก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า"--เขาคิดถูก เพราะผลตอบแทนที่เขาได้ ไม่ได้ด้อยไปกว่า นักลงทุนที่เล่นหุ้นหวือหวาเสียด้วยซ้ำ..(แต่คุณเคยคิดไหมว่า การที่ Prove "ไอเดียหนึ่งๆว่าถูกหรือผิด โดยใช้เวลา 40 ปีเต็มๆ)--มันไม่ใช่อะไรที่ง่ายเลย!!... มันเหมือนกับการแข่งวิ่งมาราธอน ที่เส้นระยะทางยาวที่สุดในโลก คือต้องใช้เวลา 40 ปี ..ผมว่าใครแข่งด้วย--มันเลิกแข่งไปตั้งแต่ ปีสองปีแรกๆแล้ว "ต้องขอบอกว่า Buffet โคตรอึดเลย!!"

เขาเปรียบเทียบการลงทุนว่าเหมือน การกลิ้งของ snowball คือ เขายืนอยู่บนยอดเขา แล้วก็โยนก้อนหิมะเล็กๆ ลงมา..กลิ้งลงมาๆ..ๆ.ยิ่งกลิ้งลงมาๆ ..ก้อนหิมะเล็กๆ ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ...ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ---"ปัจจุบันหิมะก้อนเล็กที่ Buffet กลิ้งลงมา ไม่ว่า จะเป็น บริษัท โค้ก ,ยินเล็ท ,นสพ.วอชิงตันโพสต์ , บริษัท ประกันที่เขาลงทุน และอื่นๆอีกมากมาย ภายใต้ Berkshire Hathaway ได้กลายเป็นหิมะก้อนมหึมาอย่างทุกวันนี้

..และนี่ก็คือ ที่มาของ The Snowball (ก้อนหิมะเล็กๆ ที่กลายเป็นภูเขา...)--- เท่ห์มาก (ส่วนรายละเอียดก็ไปหา The Snowball มาอ่านกันครับ!!...)

หนังสือ ของ Jim Rogers กับแนวคิด "Commodity Bullish--Stock Bearlish"


วันก่อนผมอ่านหนังสือ อีกเล่มของ Jim Rogers --"A Gift To My Children" ..จริงๆผมอ่านหนังสือของ Jim Rogers มาหลายเล่มแล้ว ตั้งแต่ "Hot commodities", "A Bull in China" คือเขาเป็นนักลงทุนที่ร่วมก่อตั้ง Quantum Fund กับ จอร์จ โซรอล นั่นเอง

--ผมชอบแนวคิดของ Jim มาก เพราะปกติคนที่สำเร็จ ย่อมมีแนวความคิดที่ไม่ธรรมดา --(และมันก็ ไม่ธรรมดาจริงๆ).. เพราะทุกอย่างที่เขาคิด หรือ ลงทุน มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ(ชาวสวน) และ"นั่นคือ จุดที่ทำให้เขาสำเร็จอย่างมหาศาล" --เขาตั้ง Rogers Commodities Index ปี 1998 เพื่อใช้เป็นดัชนีชี้วัดผลตอบแทนจากตลาด Commodity ซึ่งตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา Index นี้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องชนะหุ้นกระจุย หรือ ที่เขาเรียกว่า Commodity Boom นั่นเอง --เขากล่าวว่า "Commodity" กับ "หุ้น" จะวิ่งสวนทางกัน

..โดยที่ Cycle ของ Commodity จะขึ้นลงเป็น Cycle ทุกๆ 14 -23 ปี โดยทุกครั้งที่ Commodity ดี หุ้นจะไม่ค่อยไปไหน เพราะที่เราทราบกันดีว่า Commodity ล้วนเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในส่วนของต้นทุนของบริษัทต่างๆ ดังนั้น เมื่อ Commodity ขึ้น ก็เท่ากับว่าต้นทุนของบริษัทต่างๆ ย่อมสูงขึ้น ทำให้กำไร"แย่ลง" ดังนั้น หุ้นก็จะไม่ไปไหน (ซึ่ง Commodity Boom รอบนี้ เขาคาดว่า น่าจะไปสิ้นสุดระหว่างปี 2014 - 2022 ตามสถิติที่ผ่านมา)

ซึ่งจุดนี้ผมมองว่า เป็นอะไรที่สอดคล้องกับ "แนวคิดเกี่ยวกับ Asian Miracle 2 .. ที่ผมคาดว่าน่าจะเกิดในไม่ช้า" คือ ถ้าเรามองตลาดในขณะนี้ แม้ Commodity ราคาแพง แต่บริษัทกลับทำกำไร ไม่ได้แย่ไปกว่าปกติ (เห็นได้จาก dividend Yield ของบริษัทต่างๆในตลาดเรา ให้ผลตอบแทนที่สูง ทั้งนี้ ผมมองว่าเป็นเพราะ ต้นทุนการเงินที่ต่ำ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง
ส่งผลให้ต้นทุนการเงินของบริษัทลดลง ประกอบกับการลดต้นทุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้ไปชดเชย กับ ต้นทุนวัตถุดิบ Commodity ที่แพงขึ้น)

ดังนั้น ถ้ามองให้ยาวขึ้น --หากราคา Commodity ลดลงเมื่อไหร่ ก็น่าจะนำมาซึ่งกำไร ของบริษัทต่างๆในตลาดที่ดีขึ้น --หุ้นก็จะขึ้นตาม ซึ่งจะหมายถึง Stock Market Boom แรงๆอีกครั้ง

ดังนั้น สรุปได้ว่า หากเราลงทุนซื้อหุ้นวันนี้ แล้วถือไปเรื่อยๆ ก็มีโอกาสสูงที่ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้รับอานิสงค์ของ Bull Market ทำให้เรา"รวยได้ไม่ยาก" แต่หากเรารอไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับกำไร ของบริษัทที่ดีขึ้น (จุดนี้หมายถึง คุณได้ซื้อหุ้นในราคาถูก ซึ่งนับวัน บริษัทที่คุณถือ ก็จะให้กำไรและปันผลดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับ ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นเรื่อยๆ)

... อีกจุดยังต้องดูให้ดี คือ แล้วบริษัทอะไรที่ "น้ำมัน" ที่ได้รับประโยชน์จาก Commodity Boom ---แต่ยังจะคงดี เมื่อ Commodity Bust หรือไม่ -- อย่าง"โรงกลั้น" ถ้าราคา "น้ำมันร่วง" มันหมายถึง Stock Loss อย่างมหาศาล (อย่างในปี 2551)ดังนั้น ถ้าราคา"น้ำมัน"ลงแรง มันไม่สามารถหาต้นทุนใดมาลดได้ คือ "ขาดทุน" แต่หาก Commodity ยัง Boom ต่อ นั่นก็คือ โรงกลั้นจะกำไรอย่างต่อเนื่อง

--ดังนั้น เมื่อ Commodity เริ่มลงเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง คุณควรเริ่มลงทุนในหุ้นที่ ได้รับประโยชน์ เช่น สายการบิน , การท่องเที่ยว , การผลิตอาหารการกิน , การผลิตต่างๆ ---สรุป"อยากรวย--ไม่ง่าย" การลงอะไรก็ต้องรู้จังหวะ คือ ถ้าหลับหูหลับตาก็ขาดทุนได้เหมือนกัน...

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิตยสาร "FORTUNE 500" กำลังบอกอะไรเรา..


นิตรสาร FORTUNE จัดอันดับ บริษัท "FORTUNE 500" (บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในอเมริกา) ปีนี้ที่ 1 คือ Wal-mart(ยอดขาย 408,214 ล้านเหรียญ) ซึ่งทวงแชมป์กลับมาจาก EXXON MOBIL ที่ 1 ปีที่แล้ว...คือปีนี้ EXXON ยอดขายลดลง 35% ในขณะที่ Wal-mart ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.6%

...มาคุย เรื่อง Wal-mart กันนึดนึง บริษัทนี้ก่อตั้งโดย Sam Walton เมื่อ 48 ปีที่แล้ว เริ่มจากร้านขายของชำ แบบเบ็ดเตล็ดในรัฐ Arkansas เดิมตลาดค้าปลีกผูกขาดโดย SEAR, ROBUCK ซึ่งคล้ายๆห้างเซ็นทรัลในอีต ซึ่งรูปแบบ Discount Store ของ WAL-MART ได้เข้ามา เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอเมริกาไปอย่างสิ้นเชิง--หลายคนมอง WAL-MART ว่าเป็น ผู้ทำลายค้าปลีกอเมริกา จนกระทั่งเสียดุลการค้าต่อจีนมหาศาล( WAL-MART นำเข้าสินค้าจากจีน เยอะกว่า ประเทศบางประเทศด้วยซ้ำ --คิดดู..บริษัท ใหญ่กว่าประเทศ ..)

FORTUNE 500 ในปีนี้ มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ กำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยอดขายลดลง (ซึ่งกำไรปีนี้ เพิ่มเกือบเท่าปี 2003 ที่ตลาดหุ้น Boom มากๆ ต่างกันตรงที่ปี 2003นั้นกำไรเพิ่มพร้อมกับยอดขายที่เพิ่ม แต่ในปี 2009 กำไรเพิ่มในขณะที่ยอดขายลดลง)

--จุดนี้เป็นผลมาจากการลดต้นทุน เช่น ปลดคนงานออก ของบริษัทใหญ่ๆ ในปี 2008 ประกอบกับเศรษฐกิจค่อยๆฟื้น ทำให้ ต้นทุนลดลงรวดเร็ว ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต ของบริษัทดีขึ้น (แต่ในภาพรวม ไม่ค่อยดี เพราะ การลดคนงานของบริษัทต่างๆ ส่งผลให้ Unemployment Rate ของอเมริกา สูงเกือบแตะ 10% ..ทำให้ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคหยุดการใช้จ่ายทันที พร้อมกับเริ่มเก็บออมมากขึ้น สวนทางกับ Saving Rate ที่ติดลบมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา)..คำถามที่เกิดขึ้นคือ (แล้วนี่หมายความว่าอะไร)

---สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น คือ"ประเทศที่รับวิกฤตเต็มๆ"อย่างอเมริกา กำลังแสดง การเติบโตที่ค่อนข้างดี เริ่มจากบริษัทต่างๆกลับมามีกำไรดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้กลับมาจ้างงานเพิ่ม ..แสดงให้เห็นถึงการค่อยๆฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แท้จริง ประกอบกับ การคงดอกเบี้ยต่ำ ทำให้"เงิน"ไหลเข้ามาในตลาดทุน เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อหุ้นกลับมาดี มันก็เริ่มดึงให้กิจการค่อยๆฟื้นตัว ..สรุปได้ว่า "เป็นสัญญาณบวก ค่อนข้างชัดเจน"

..ผมเชื่อว่า เมื่อสัญญาณการฟื้นตัวเริ่มชัดเจนเช่นนี้แล้ว นักลงทุนที่เก่ง จะมองข้าม Shot ไปที่ ในอนาคตนั่นหมายความว่า ณเวลานี้เป็นต้นไป เป็นเวลาที่กอบโกย สำหรับ Bull Market ที่เริ่มขึ้นใหม่ พร้อมกับมองหาจุด Peak ที่เราจะต้อง"วิ่งออก" ในรอบต่อไป(ไม่ใช่มานั่งจมกับว่า ตลาดจะไปต่อ หรือตก เพราะมันผ่านจุดนั้นมานานแล้ว)....

หนังสือ Freakonomics


เป็นหนังสือ เศรษฐศาสตร์เล่มแรกๆเลยที่ออกมา แล้ว "คนธรรมดาอ่านเข้าใจได้ ..แถมสนุกด้วย" จนบางมหาลัยในอเมริกา เอา Freakonomics ไปเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเรียนเลย

Levitt เลือกเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมองข้ามเอามาเป็นประเด็นในการวิเคราะห์ เช่น ครูกับนักซูโม่..เหมือนกันอย่างไร, Ku Klux Klan(องค์กรเหยียดคนผิวดำ) กับ Real-estate Agent เหมือนกันตรงไหน, ทำไมคนค้ายาจึงมัก"ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่", ปี 1960 ใน New York มีอาชญกรรมสูงมาก แต่อยู่ดีๆ มันก็ลดลงไปอย่างฮวบฮาบ "ซึ่งสอดคล้องกับการออกกฏหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้" น่าแปลก!!

ประเด็นหลัก คือ การนำเรื่องราวที่คนนึกว่าไม่เกี่ยวกัน มาชี้ให้เห็นว่ามัน "มันเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกันอย่างสุดๆ" หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ มันจุดประกายให้ ผมมามองสิ่งต่างๆรอบตัวในบ้านเรา ซึ่ง"แน่นอนมันต่างจากอเมริกา แต่มันก็มีความคล้ายกัน" เช่น คนขับรถทุกคนทำไม"เป็นเซียนเลนตาย" คือ ถ้าเราขับเข้าไปช่องทางไหน มันมักจะติด"จริงมั๊ย!!" --ซึ่งจริงๆมัน ก็คือ หลักเศรษฐศาสตร์ คือ เวลามีโอกาสหรือช่องว่าง(Demand).. คนก็มักจะ "กรู"กันเข้าไป Fill Demand" เป็นหลักง่ายๆของ Demand & Supply นั่นเอง

ที่สำคัญพออ่านเล่มนี้แล้ว ก็ควรเข้าที่ Blog ของคนเขียนที่ http://freakonomics.blogs.nytimes.com จะมีการ Updated ประเด็นที่น่าสนใจ อย่างต่อเนื่อง ..ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ และต่อยอดจากหนังสือ

ก็สรุปเป็นหนังสือที่ดี "เปิดมุมมองใหม่ๆ" ถ้ายังไม่อยากเสียเงินซื้อ ให้ไปอ่าน Blog ของผู้เขียน ก่อนก็น่าจะดี!!

"หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก" หนังสืออะไร!!!


ผมว่าหลายคนน่าจะรู้จัก Seth Godin , Malcolm Gladwell และ Chris Anderson (จริงๆผมว่า.. ไม่ค่อยมีคนไทยรู้จัก 3 คนนี้เท่าไหร่ "ถ้าไม่ได้ชอบอ่านหนังสือแปลกๆ" ..ผมคนนึงล่ะ ที่ชอบไปหาหนังสือแปลกๆอ่าน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะ "ชีวิตมันสับสนขึ้นเรื่อยๆ" ..คุณคิดเหมือนผมไหม ทุกวันนี้ สิ่งรอบตัวมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ วิถีชีวิตที่รีบเร่งขึ้น การเกิดของ Internet ที่ อัดข้อมูลใส่เรา "จน Information Overload จริงๆ", ทุกวันนี้ต้องเสียเวลา(นานนม)มาก Check ตั้งแต่ E-mail, Facebook , Twitter และก็ คลิป"ฉาว"ใน Youtube --หลายคนบอก "ผมไม่สนหรอก"--แต่พอเอาเข้าจริง เรากลับรู้สึกว่าเราเชย!! ตกกรอบของสังคมตามคนอื่นไม่ทัน!! "ท้ายสุดต้องกลับมา Updated ต่อ", พอเราหันไปข้างๆ เพื่อนเราบินไปเรียนต่อ "อีกสองปริญญาในอเมริกา"--(ทั้งหมดนี้แหละครับ ผมกำลังจะบอกคุณว่า "หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก มีชื่อว่าอะไร!!"

ถูกต้อง!! มันคือ "หนังสือโป๊" ...หุ หุ (ไม่ๆ.ไม่ใช่ Playboy ..แต่มันคือ หนังสือที่ จะโป๊เปลือยความคิด ...และไขข้อสงสัย "บอกคุณว่า ตอนนี้โลกมันเกิดอะไรขึ้น (อะไรเกิดกับกู!!) และบอกว่าคุณจะรับมืออย่างไร" ..นักเขียนทั้งสาม (Seth Godin , Malcolm Gladwell และ Chris Anderson) เป็นนักเขียน International Bestseller เพราะหนังสือเกือบทั้งหมดของเขาพยายามชี้ให้เราเห็นว่า "บ้าบอ..อะไร มันเกิดขึ้นกับโลก เบี้ยวๆของเรา" เอ๊ะ!! โลกเรามัน เบี้ยว หรือ The World is Flat ตามที่ Thomas Friedman บรรจงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น...( สับสนมาก!!)

คือ สรุปแล้วผมว่า "เรื่องของอนาคต ยังไงมันก็คือ "เดา"ทั้งนั้น (เพราะมันยังไม่เกิดขึ้น)" ดังนั้น ไม่ว่า คุณจะอ่านหนังสืออะไร ..ท้ายสุด ผมว่าคุณควร"คิดต่อตอนจบเอง" เพราะ ผมมองว่าตอนจบที่ดีที่สุดของหนังสือ มันควรจะจบตามที่เรา "เชื่อ" (ไม่ใช่จบตามที่คนเขียนหนังสือพยายามหว่านล้อมให้เราเชื่อ)... "สรุปว่า อ่านหนังสือ ให้เว้นตอนจบ" --ละครเรื่องนี้มันจะได้จบ สวยงาม "Happy Ending" แบบพระเอก สมหวังกับนางเอก ...แต่ผลลัพธ์จริงๆในอนาคต "ปล่อยให้มันเป็นไป" --"Let's it be but Be Happy today คร้าบบบ....

(เอา เป็นว่า ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆ ปรับไป มีอะไร แบ่งปันกัน อย่าลืม มา Add Facebook ของผม ..มี Link ใน Blog ของผมที่ http://pawawit.blogspot.com --แล้วก็ "ment..คุยกันเข้ามา" ช่วยกัน Shape โลกเบี้ยวๆนี้กันหน่อย...หุ หุ หุ)

อ่านหนังสือยังไงให้"ฉลาดขึ้น"


"การ์ตูน" --จริงๆอ่านอะไรก็ได้มุมมองทั้งนั้นอยู่ที่เราจะเก็บเอาอะไรมาเป็นแง่คิด... ผมเป็นคนนึงล่ะ ที่บ้าอ่านหนังสือมากๆ (จริงๆผมว่า มีหลายๆคนที่เหมือนผม คือ โรคจิต"กลัวโง่" ประมาณว่าทนไม่ได้ที่จะโง่ ....โดยเฉพาะเรื่องที่ผมสนใจคือ "ธุรกิจ" ---ทำให้เสียเงินเยอะมากไปให้ "Asia Book"

... หลายคนถามว่าทำไมต้องอ่านหนังสือฝรั่ง (กระแดะหรือ??) ..จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น -- แต่ผมมองว่า หนังสือฝรั่งมันมีแง่คิดที่แตกต่างดี (ถ้ารอให้แปลเป็นไทยก็อีก 2 - 3 ปี ) ส่วนหนังสือไทยๆเลย ผมว่า แนวคิดมันไม่ค่อยหลากหลาย...คนไทยอ่านหนังสือน้อย และไม่ค่อยเปิดรับความคิดที่เห็นแย้งกับตัวเอง จึงทำให้ สะท้อนออกมาในหนังสือ และแบบแผนการดำเนินชีวิต ที่แคบและจำกัดอยู่ในกรอบ

ถ้าจะถามว่า ทำไม ฝรั่งเขามีหนังสือดีๆ (แนวคิดดีๆแปลกๆ)ออกมาให้อ่านมากมาย ..อันนี้มันเริ่มจากที่ "ฝรั่ง" เขาชอบการอ่านอยู่ในสายเลือดเป็นทุน และสังคมที่เปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น(แต่คนไทย ผู้ชายติดบอล ผู้หญิงติดละคร เลยไม่มีใครอ่านหนังสือ ..ฮิ ฮิ) การอ่านหนังสือ ผมชอบอ่านหนังสือ ที่"คิดต่างกับเรา" เพราะมันเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ

--ถ้าเราไม่ Open Mind เราจะกลายเป็นคนที่มองอะไรด้านเดียว ซึ่งจุดนี้ สังคมไทย(กำลังประสพ) การมองอะไรด้านเดียวจะทำให้ถูก โน้มน้าวได้ง่าย อย่างบ้านเราที่โดนจูงไปเสื้อเหลือง หรือ แดง ก็คือ "โดนชักจูง..ทางความคิดนั่นเอง" ดังนั้น แท้จริงแล้ว หากเรามี "ปัญญา" คือ มีจุดยืนและมีเหตุผล การที่เราจะถูกชักจูงก็จะเป็นไปได้ยาก ซึ่งจะทำให้ลดความขัดแย้งในสังคม
ผมว่าวันนี้..คนไทยน่าจะ "อ่านมากๆ" และฟังมากๆ โดยเฉพาะ อ่านและฟัง ความคิดที่ต่างจากเรา

--- ผมสังเกตว่า พวกเศรษฐีหรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนมากจะรักการอ่าน และนี่แหละที่เป็นบ่อเกิดแห่ง"ปัญญา" ที่จะสร้างให้ "คนเหนือคน" --ความอัจฉริยะ เป็นสิ่งที่สร้างได้ มันอยู่ที่เราพร้อมที่จะเปิดรับความคิด และ สร้างสม มันหรือเปล่า ..วันนี้มีหนังสือ ดีๆมากมายรอให้เราหยิบอ่าน ---"การเลือกอ่านหนังสือที่ดี ก็คือการเลือกที่จะสร้างความคิดที่สร้างสรรค์สิ่งๆดีให้กับเรานั่นเองครับ "....ฮิ ฮิ....................

หนังสือ Rich Dad Poor Dad




เล่ม นี้อ่านเมื่อ สิบปีก่อน (สมัยผมเรียนอยู่มหาลัย) มันเป็นอะไรที่เปลี่ยน มุมมองชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของเป้าหมายในชีวิตและการลงทุน ..สิ่งเด็ดๆที่ได้ก็เช่น บ้าน จริงๆคือหนี้สิน ไม่ใช่ สินทรัพย์ , Debt มีทั้ง Good Debt และ Bad Debt ใช้มุมในการสร้าง "รายได้"เป็นตัวกำหนด , มุมมองของการเป็นผู้ประกอบการ , มุมมองในเรื่องของภาษีระหว่างลูกจ้างกับเจ้าของ --แต่บางอย่างก็ ได้รับผลกระทบโดยตรงกับ Sub prime ครั้งนี้ โดยเฉพาะ เรื่องของ "การลงทุนใน Real Estate โดยเน้น Leveraged ...แต่ภาพรวมผมมองว่า เป็น หนังสือที่ดี ที่"จุดประกายความคิด โดยเฉพาะคนที่อยากมีมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับด้าน การเงิน ที่ไม่ได้มีสอนในโรงเรียน"

Income (รายได้) มีอยู่ 3 แบบ "จาก หนังสือ ชุด Rich dad poor dad"
1. Earned Income คือ รายได้ จากเงินเดือน กลุ่มนี้คือ คนจน
2. Passive Income คือ รายได้จาก กิจการ (ที่เราไม่ต้องลงแรงโดยตรง) ซึ่งก็รายได้ จากกิจการที่เราเป็นเจ้าของ (แต่กว่าจะเป็น Passive Income คุณก็ต้องผ่านการ ทำงานหนักอย่างแสนสาหัส กว่าที่จะสร้างกิจการของ...ตัวเองให้ ยิ่งใหญ่จนสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้)
3. Portfolio Income คือ รายได้ จากการลงทุน ซึ่งเป็นรายได้ ที่ "คนจน" สามารถเอื้อมถึง เพราะการลงทุน เราสามารถเริ่มลงทุนตั้งแต่เงินก้อนเล็กๆ (อย่าง Value Investor ก็ได้พิสูจน์ ว่า คนธรรมดา สามารถมีเงินเป็น สิบ เป็นร้อยล้านได้เช่นกัน)

หนังสือ B-I Triangle "Rich Dad Poor Dad"


B-I Triangle เป็นเสมือน"คำภีร์"ของ ผู้ประกอบการ ..ในธุรกิจไม่ว่าจะเป็นกิจการใดก็ตาม ล้วนต้องประกอบไปด้วย 3 ขาหลัก ซึ่งก็คือ Team, Mission และ Leadership ดังนั้น มันจึงเป็นการยากที่ คนๆเดียวจะสามารถเก่งทั้ง 3 skill (ธุรกิจส่วนใหญ่จึงต้องอาศับผู้ที่มีความเก่งในแต่ละด้านมาร่วมมือกัน นั่นเอง)

ในส่วนของปัจจัยที่ "ขาดไม่ได้"... (ต้องเก่ง) มีอยู่ 5 ปัจจัย คือ Product , Legal, Systems , Communicatios และก็ Cash Flow

(ห้าปัจจัยนี้เป็น Key Success Factor ภายในของทุกกิจการที่ต้องเก่งและมีความแตกต่าง ..การบริหารการจัดการภายในที่ดี จึง หมายถึง การมีต้นทุนที่ต่ำ ) และต้นทุนที่ต่ำ ย่อมหมายถึง "โอกาสสู่ความสำเร็จที่สูงนั่นเอง...

หนังสือ Cashflow Quadrant


นี่เป็นภาพที่บรรยายได้ "ร้อยคำพูด" เป็นการอธิบายถึงความมั่งคั่งของคนทั่วโลก --"คน 10% ของโลก เป็นเจ้าของ เงิน 90% ของโลก" ซึ่ง 10% นี้ก็คือ คนที่อยู่ฝั่งขวาของ Cashflow Quadrant ซึ่งก็คือ B และ I (Business & Investor) คือคนที่หาเงินแบบ Passive Income "เงินเข้ามาโดยที่ไม่ต้องทำงาน(เงินทำงานด้วยตัวเอง)" ....ส่วน E และ S... (Employee & Self-employ) เป็นประชากรส่วนใหญ่ที่หาเงินจาก Earned Income คือ คนที่ทำงานหนักเพื่อเงิน จึงไม่รวยสักที
((สรุป)) ที่ Rich dad กล่าวคือ "คนที่ต้องการจะพ้นจากความยากจน"...ต้องทำงานเพื่อสร้างกลไก ที่จะนำมาซึ่ง Passive Income นั่นก็คือ การสร้างกิจการของตัวเอง หรือ การลงทุนเท่านั้น


"Casflow Quadrant" หนังสือเล่มที่ 2 ของ Rich dad poor dad ..คือ การจำแนกคนออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. ลูกจ้าง((E)) (ทำงานยังไงก็ไม่รวยเพราะ จ่ายภาษีก่อนเลย)
2. Self -employ((S)) คือ คนที่มีอาชีพอิสระ เช่น หมอ ,ทนาย และ คนที่เงินเดือนสูง รวมถึงเจ้าของกิจการขนาดเล็ก (แต่ปัญหาคือ เขาจะมีเงินต่อเมื่ตัวเขาต้องไปทำงานเท่านั้น..ถ้า...หยุดทำเงินก็หยุดตาม)
3. Business Owner((B)) คือ เจ้าของกิจการ (คือ จ่ายภาษี หลังหักค่าใช้จ่าย(ส่วนตัว)แล้ว ..รวยกว่า Self Employ ตรงที่เขาอาจไม่ต้องไปทำงานก็ได้ แต่บริษัทเขาก็ยังสร้างเงินให้เขา --ซึ่งเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง
4. Investor ((I)) คือ "นักลงทุน" คือ ลงทุนในสินทรัพย์ ,ตราสาร หรือ กิจการคนอื่น ..ไม่ต้องเหนื่อย "ปล่อยให้เงินทำงานเอง" ซึ่ง Rich Dad บอกว่า "กลุ่มนี้เยี่ยมที่สุด (แต่ปัญหาคือ คุณต้องมีเงินลงทุน ก่อน ถึงจะลงทุนได้) ดังนั้น นี่คือ Ultimate Goal ของทุกคน!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ SHIFT ของ Carlos Ghosn


คน เขียน คือ CEO ของ Renault ที่เข้านั่งควบ CEO ของ NISSAN ในปี 2001 จากนั้นก็ทำให้ Nissan ผลิกจากขาดทุนย่อยยับ กลายเป็น "กำไรมหาศาล"ในปัจจุบัน .. (นั่งควบสองบริษัทอยู่สองทวีป บินระหว่าง ฝรั่งเศส กับ ญี่ปุ่น จนเป็นเรื่องขนม) ก่อนที่ GM จพล้มละลายยังมีข่าวว่า น่าจะให้ Carlos Ghosn มานั่งควบ CEO ของ GM อีกตูกนึง "คิดดูเก่ง โคตร!!" อ่าน Shift ที่เขาเขียนแล้ว สร้างแรงดลใจว่า คนเก่งก็คือ คนธรรมดาๆที่ "ลงไปคลุกกับปัญหา รับฟังคนที่เจอปัญหาโดยตรง และกล้าที่จะตัดสินใจ" เยี่ยมครับ ทั้งคนเขียน ทั้งหนังสือ!!

ปัญหาของ"คนใหญ่โต"คือ"โรคหูปิด"
ผมอ่านหนังสือชื่อ "SHIFT" ของ Carlos Ghosn ..เกร่นก่อนว่า นาย Carlos นี่เขาเจ๋งขนาดไหน ..ถ้าใครจำได้ช่วง 2-3 ปีก่อน บริษัท NISSAN ประสบปัญหาอย่างหนัก"เกือบล้มละลาย"..ปรากฏว่าระหว่างนั้นมีบริษัท Ranault(บริษัทรถของฝรั่งเศษที่มีนาย Carlos เป็น CEO) เข้ามาเสนอตัวเข้ามาร่วมทุน เพื่อกู้สถานการณ์

--ทาง NISSAN ตอบตกลงทำให้ Carlos กลายเป็น CEO ควบทั้งสองบริษัท บินไปมาระหว่าง ฝรั่งเศษกับญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น ..ในเวลาอันสั้น Carlos สามารถกู้สถานการณ์ให้ NISSAN พ้นจากปัญหา "กลับมามีกำไร" ผลคือ คนญี่ปุ่นออกมายกย่อง Carlos ราวกับว่าเขา"เก่งขั้นเทพ"...และนี่เองเป็นสาเหตุที่ผมไปซื้อหนังสือที่เขา เขียนมาอ่าน เพราะอยากรู้ว่า"ไอ้เก่งขั้นเทพ ..มันคืออะไร"

สิ่งที่ผมอ่าน ปรากฏว่า เขาบอกเลยว่า การบริหาร จริงๆไม่ใช่อะไรที่--ซับซ้อน แต่มันคือ Common Sense และการ"รับฟังปัญหา"จากคนที่เจอกับปัญหาจริงๆ และประเด็นนี่เองเป็นปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับองค์กรใหญ่ เพราะ CEO เกือบทุกคน มักนึกว่า"ตนเองเก่งสุด ..เก่งแบบไม่ต้องฟังใคร" ส่งผลให้เขาเป็นเสมือน มนุษย์"หูปิด หรือ ไม่มีหูนั่นเอง" จะว่าไปแล้วอย่างบ้านเรา โดยเฉพาะนักการเมือง เป็น"โรคหูปิด"ราวกับติดโรคระบาด ---เพราะแท้จริงการแก้ปัญหาต่างๆในองค์กร"มันง่ายนิดเดียว" คือ คุณแค่เรียกคนที่"ประสบกับปัญหาจริงๆ"มาถามเขาว่า "อะไรคือปัญหา" --วิธีนี้เท่านั้นจึงจะเป็น"การแก้ปัญหาที่ตรงจุด"

..ไม่ใช่อย่าง ทุกวันนี้ พอบริษัทเจอปัญหาก็เรียก Consult เข้ามา (ไอ้ที่พวก Consult ทำก็คือ ลงมาถามพนักงานที่เจอกับปัญหาว่า"อะไรคือปัญหา จากนั้นก็สรุปเป็นรายงานที่สวยและเข้าใจยาก เสนอ CEO) ...ผมสงสัยว่าทำไม CEO ไม่ลงมาถามพนักงาน มันจะง่ายกว่าไหม!! และนี่เองเป็นสิ่งที่ Carlos Ghosn ทำ คือ เขาลงมาลุยกับพนักงานเลยว่า อะไรคือปัญหา...และอีกจุดที่เขาแนะนำคือ ผู้บริหารต้อง"รู้จักฟัง"

อย่าง ที่บอกว่า นักการเมืองบ้านเรา พอได้เป็นรัฐมนตรีก็ "กร่าง"คิดว่าตัวเอง"แน่" ก็เดินเข้ากระทรวง สั้งเลยทำนุ่นทำนี่ (สรุปพวกข้าราชการก็นั่งขำ เพราะสิ่งที่สั้งบางทีมันติดกฏหมาย หรือ ระเบียบต่างๆ เลยทำไม่ได้ แทนที่เขาจะเรียก ข้าราชการที่รู้ปัญหามาถามว่า"ติดอะไร" ..นี่แหละถึงจะแก้ปัญหาตรงจุด)
สรุปแล้ว การแก้ปัญหาของ องค์กรและราชการไทยในเวลานี้ "ไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด" คือ "แค่ฟัง..คนที่ Face กับปัญหา" ..แค่นี้ทุกอย่างก็ง่าย จริงไหมครับ!!

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ Future Files



เล่มนี้ เอามาแนะนำ "ใครกลัว Future Shock" ไปหามาอ่าน
ซึ่งในหนังสือ จะพูดครอบคลุมทุกๆด้าน ตั้งแต่ สังคม, การศึกษา , การสื่อสาร ,สุขภาพ ,อาหาร , การขนส่ง เป็นต้น
การทำความเข้าใจอนาคตจะช่วยให้เรา พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ กำลังจะเกิดขึ้น

..."ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีใครที่รู้แน่หรอกว่าอนาคตคือ อะไร " แต่การอ่านหนังสือ ประเภทนี้ จะเปิดมุมมองให้ เราเป็นคนทันสมัย รู้จัก ประยุกต์ ความคิด และมองจุดเชื่อมโยงปัจจุบัน เพื่อ สานเป็นภาพต่อ "เพื่อที่จะทำนายอนาคต"

ผมเป็นคนหนึ่งที่ผม คาดการณ์อนาคต เพราะ มันช่วยให้เรา "ทันสมัยนะผมว่า" ...หลายคนเคยพูดว่า "คนที่พูดแต่ความหลัง ก็คือ คนแก่...หุ หุ"

แต่ที่เด็ดมากของ หนังสือเล่มนี้ ก็คือ Extinction timeline ระหว่างปี 2000 - 2050 คือ ดูว่าในแต่ละปี มีอะไรที่จะสูญพันธ์บ้าง เริ่มตั้งแต่ ของเล่นที่ทำด้วยไม้ ไปจนถึง "ความน่าเกียจ"(คือ เขาประมาณว่าในปี 2050 จะไม่มีคนหน้าตาไม่ดีอีกแล้ว เพราะการแพทย์ที่ก้าวหน้าในทุกๆด้าน รวมทั้งความงามด้วย) ..ก็อ่านแล้ว ชวนให้คิดตาม ดีครับ!!!

หนังสือ All the Money in the World


หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นโดยหนึ่งใน นักเขียนของ Forbes (ซึ่งเป็นนิตยสารที่ชอบจัดอันดับทุกเรื่องตั้งแต่ ความรวย , ความดัง , คนมีอำนาจ คือ พูดง่ายๆว่า รวมทุก List จัดมันทุกเรื่องเท่าที่ จะสามารถจัดได้) ผมว่าเล่มนี้เหมาะกับคนที่ชอบ เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้าง "ผมว่าคนรวยทุกคน มีความเป็น Generalist อยู่ไม่มากก็น้อย แต่ยังไงต้องมี เพราะ การมีกิจการตัวเองได้ ต้องเป็น คนสารพัด "ช่าง" คือ ทำได้ทุกเรื่อง

มาในส่วนของเนื้อหา แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรกดูว่า คนรวยที่อยู่ใน Forbes 400 Rich เขามีพื้นฐานนิสัยอย่างไร เริ่มตั้งแต่ การศึกษาซึ่งในปัจจุบัน การศึกษาของ Billionaire จะไม่ค่อยสูง อาศัย เรียนรู้จากชีวิตจริงมากกว่า ..ในส่วนที่สอง คือ วิธการสร้างตัวของเศรษฐีแต่ละคน ..และส่วนสุดท้ายคือ การดูว่าเศรษฐีเขาใช้เงิน ฟู่ฟ่ากันขนาดไหน

เล่มนี้แนะนำสำหรับ คนที่อยากรวย "คนที่จะรวยต้องมองภาพใหญ่ให้เป็น ถ้ามองแต่ภาพเล็กๆ---ไปเป็น"ลูกจ้าง"จะรุ่งกว่า" แต่ลูกจ้างรวยๆก็ใช่ว่าไม่มี CEO ไง--- "แต่นั้นต้อง อึด..(ทำงานอย่างน้อนยี่สิบปีขึ้นไป) ผมว่า Gen Y จะทนได้ยาก...เพราะ Hiper สุดๆ

หนังสือ Long Tail



Chris Anderson หนึ่งในสุดยอดนักการตลาด ของ นิตยสาร Wired ..."Long Tail" เป็นหนึ่งใน Idea ที่ คนทำธุรกิจ ทุกคนต้องรู้

งั้นผมจะเล่าเรื่องในหนังสือ "Long Tail" ให้ฟัง....
ไหนๆก็ พูดถึง Chris Anderson มาหลายทีแล้ว ..หนังสือที่แจ้งเกิดของนักเขียนก้องโลกคนนี้ก็คือ Long Tail ..คือ Chris จากที่ เขียนบทความมากมายเกี่ยวกับ Internet ในนิตยสาร Wired ได้สังเกตุเห็นว่า บริษัทอย่าง Netflix (บริษัทให้เช่า DVD ทาง Internet ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา)

--ผม ขอเกร็นคร่าวๆเกี่ยวกับ Netflix บริษัทนี้ก่อตั้งโดย นาย Reed Hastings ในปี 1997 ปัจจุบันเป็นบริษัทเช่า DVD ที่ใหญ่และกำไรสุดโต่ง ในขณะที่ร้านเช่าวิดีโอ ยักษ์ใหญ่อย่าง Blockbuster กลับมีผลประกอบการที่แย่ลงเรื่อยๆ ...นี่แหละครับเป็นตัวอย่างของ ธุรกิจ ในอนาคต คือ ต้องสร้างจาก "ช่วงว่างของตลาด ที่ลูกค้าไม่ได้รับการตอบสนอง" เดิมที คนอเมริกา เบื่อมากๆกับ "ค่าปรับ" ที่ตืน DVD ช้า (จนบางครั้ง ค่าปรับแพงกว่า DVD อีก) จุดนี้ทำให้ Netflix เปิดร้านเช่า DVD Online ขึ้นมา โดยไม่มีการเก็บค่าปรับ "คุณสามารดูได้นานเท่าไหร่ก็ได้ ..โดยที่ไม่เสียค่าปรับ และเมื่อคุณคืน คุณก็เช่าหนังใหม่ต่อไปได้" ง่ายๆแค่นี้ กลับทำให้นาย Reed Hastings รวยสุดๆ

สิ่งที่ Chris Anderson สังเกตุเห็นจาก Netflix คือ ปรากฏการณ์ "Long Tail"--นั่นก็คือ DVD ที่เดิม(ไม่เคยมีใครเช่า เพราะร้าน วิดีโอ ปกติ จะมีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถมีหนังทุกเรื่องได้ แต่การที่ Netflix เป็นร้าน Online ทำให้มีไม่ข้อจำกัดในเนื่อที่การวางหนัง) ..ผลปรากฏว่า หนังที่ไม่เคยถูกเช่า "รวมกันแล้วกลับเริ่มขาย มากอย่างน่าตกใจ" ซึ่งถ้าเอาหนัง"ที่ไม่เคยมีใครเช่า"รวมกัน กลับรวมแล้วมีตลาดใหญ่พอๆ กับหนัง Best Seller เลยทีเดียว

จุดนี้ทำให้นาย Chris มองเห็นช่องว่างว่า "การที่สมัยก่อน คนเช่าแต่หนัง Best Seller หรือ อ่านแต่หนังสือ Best Seller และ ฟังแต่เพลง Best Seller นั่นเป็นเพราะ "ในอดีตลูกค้ามีทางเลือกที่จำกัด" แต่ในปัจจุบัน Internet ได้ทำลายข้อจำกัดดังกล่าว ...ซึ่งหมายความว่า ร้านดั้งเดิม อย่าง แมลงป่อง หรือ ร้านวิดีโอแถวบ้าน ไม่สามารถ "ให้เช่าสินค้าที่ Netflix ขายดี"-- มันก็คล้ายๆ Netflix ได้ผูกขาด "ตลาดใหม่ไปโดยปฎิยาย"

ดังนั้น โอกาสในอนาคต จึงยังเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาต่อไป..ตัวผมมองการเกิด Long Tail เป็นโอกาสสำหรับ นักธุรกิจเล็กๆ หรือ คนตัวเล็กๆอย่างผม ที่จะสามารถมีเวที ที่เรียกว่า Niche Market ของผมเอง ..ซึ่งในความเป็นจริง---ถ้า Niche Market ของผมมีคุณภาพเหนือกว่า"สินค้าดั่งเดิม" ..สินค้าผมก็อาจจะกลายเป็น "สินค้ากระแสหลักได้" เหมือนอย่าง "โจ ซิง ฉือ" ที่กล่าวว่า "คนเล็กต้องใหญ่!!"(ส่วนคนใหญ่จะเล็ก อ๊ะเปล่า!!) ....หุ หุ หุ

หนังสือ Free



นี่ เล่มใหม่ของ Chris (อ่านไม่สนุกเหมือน Long Tail แต่ idea น่าสนใจ)
เราจะปรับตัวอย่างไรเมื่อทุกอย่าง "ฟรี" (ตูจะหาเงินยังไงฟะ!!)
หนังสือ "FREE" หนังสือของ Chris Anderson ยังคงหลอนอยู่ในหัวผม ว่ามัน(จริงหรือ!!) ..นาย Lewis Strauss อดีตผู้อำนวยการโครงการนิวเคียร์ ..."ทำนายว่าปี 1950s ทุกคนในโลกจะได้ใช้พลังงาน ถูกจนเกือบ "ฟรี" เนื่องจากพลังงานนิวเคียร์จะทำให้ต้นทุนการผลิดไฟฟ้าถูกลงเรื่อยๆ เหมือนกับที่มันเกิดกับ Bandwidth ที่ถูกจนเกือบฟรีในปัจจุบัน ....แต่จนปัจจุบัน "ค่าไฟฟ้า"เราขึ้นเอา ๆ(เพราะไม่มีประเทศไหนกล้าใช้นิวเคียร์เป็นพลังงานหลักนอกจาก ฝรั่งเศส)

อย่าง ในประเทศไทย เราเลือกใช้ "ก๊าซธรรมชาติ เป็นหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนจีน เลือกถ่านหิน เพราะมีในประเทศจีนมีถ่านหินเยอะมาก (คุณรู้ไหมที่ "บริษัทถ่านหิน อย่าง BANPU ที่ราคาวิ่งจาก 160 มาจน 600 บาทต่อหุ้นในตอนนี้ ผมว่า "คุณ ชนินท์ ว่องกุศลกิจ ต้องวิ่งไปขอบคุณเมืองจีนที่เลือกถ่านหินเป็นหลังงานหลัก ) ตอนนี้(นักธุรกิจ และนักลงทุนกำลังจับตาดูว่า ต่อไปจีนจะเลือกอะไร เช่น เงิน Currency Reserve ถ้าจีนเพิ่มน้ำหนักใน "ทอง" ให้เท่ากับที่ ยุโรปถือ "คุณเห็นราคาทองวิ่งเลย 2,000 สบายๆ หรือ หากจีนเลือก เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทน เราจะเห็น "การเกิดใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน(ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Silicon Valley)เกิดขึ้นในจีนอย่างแน่นอน"

เพราะ ปัจจุบัน จีนแค่ใช้ กังหันลม และ ก็ Solar Cell เพียงนิดหน่อย--ยังส่งผลให้เจ้าของ Sun Tech "นายซู เซี่ยหลง"กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก ไปเลย (แค่ตอนนี้ จีนเพิ่งกระเถิบนิดๆไปทางพลังงานทดแทน ก็ทำให้ ยอดรวมของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน มีความใหญ่แซงหน้าอเมริกา ไปเกือบสองเท่าแล้ว (ตอนนี้ขนาด OBAMA พยายามผลักดันให้จีนมุ่งสู่ทิศทาง"พลังงานทดแทน" รวมทั้ง Lobby ให้จีนเปิดตลาดให้ บริษัทต่างชาติไปลงทุน เพราะถ้า สิ่งนี้เกิดเป็นรูปธรรม จะส่งผลให้ เกิดการสร้างงานใหม่ ในอเมริกา หลายล้านตำแหน่ง และอาจเป็น "จุดกำเนิดอุตสาหกรรมใหม่ เหมือนที่เกิดกับ Hi-Tech ก่อนหน้านี้"

--ซึ่ง สิ่งที่ผม พูดถึง "มันมีผลที่ อาจทำให้ทั้งโลก พ้นจากเศรษฐกิจตกต่ำ ไปรุ่งโรจน์อีกครั้ง(เหมือนอย่างที่ Bill Clinton นำ Silicon Valley ดึงอเมริกาออกจาก เศรษฐกิจตกต่ำยุคก่อนหน้านี้ได้)...ประเด็นที่ผมพูดถึงคือ "ทางเลือกของจีน" จะส่งผลต่อโลกนี้อย่างมหาศาลนั่นเอง

กลับมาใน เรื่องของ "ฟรี"-- จริงๆ "ไม่มีอะไรฟรี" เพราะท้ายสุดทุกคนต้องการ "รายได้อยู่ดี"...เพียงแต่ที่เราคิดว่า สิ่งต่างๆที่ฟรี --"มันไม่ใด้ฟรี..เพียงแต่ต้นทุนมันต่ำลง"ราคาถูกลงมากๆ" จากผลของการผลิตที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น(Economic of Scale)นั่นเอง"...ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเกิด Economic Of Scale ทำให้ Server ราคาลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น เราเลยได้ อานิสงค์ คือ ได้ใช้ Email และ บริการหลายๆอย่างฟรีนั่นเอง (แต่นั้นมันอยู่บนพื้นฐานของ การที่มี "คนอื่น" ยอมจ่ายให้เรา)..ถ้าวันนี้ Google กับ Yahoo ล้มละลาย ผมว่า"เราคงจะเริ่มต้องเริ่มเสียเงินค่าใช้ Email อย่างแน่นอน" --จริงๆ ไอ้คนเริ่มใช้กลยุทธิ์ "ฟรี" มันมีมาแต่โบราณแล้ว ตั้งแต่สมัย Standard Oil แจกตะเกียงน้ำมันให้เมืองจีน "ฟรี" จนในที่สุด "คนจีน"เลยต้องกลับมาซื้อ "น้ำมัน"... หรืออย่างที่ CP เอาหม้อหุ้งข้าว ไปแจกให้ลูกค้าคนจีนฟรีๆ(สอนให้คนจีนหุงข้าวเป็น) จนท้ายสุด "ลูกค้าจีนก็ต้องกลับมาซื้อข้าวของ CP"นั้นเอง ..ในยุคของ Microsoft ก็มีการแจก Web Browser ให้ฟรีๆพ่วงกับ Window ทำให้ Netscape เจ๊งไปเลย (คุณคิดให้ดี ว่า"เบื้องหลังของฟรี"มันย่อมมีอะไรแอบแฝง) ..จนหลายๆคนกล่าวว่า "Free" มันไม่ใช่ แนวโน้มหรือ Trend อะไรสวยหรู เพราะมันก็คือ เครื่องมือ Marketing อีกตัวที่ใช้มา "ตั้งแต่โบราณแล้ว"

ส่วน ปัญหาของ "ฟรี" ใน Internet มันเกิดจาก "ผู้ผลิตเนื้อหา"เขามีต้นทุนต่ำ และ การ "เผยแพร่" ก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย เช่น นักร้องสามารถทำ Music Video เองแล้วก็ เผยแพร่ทาง YouTube "ไม่เสียเงิน"..จุดนี้มันสร้างให้เกิดการแข่งขันที่ "รุนแรง" แล้วที่หลายๆคนบอกว่า "คุณภาพของเนื้อหาหรือข่าวสาร"จะแย่ลง แต่ผมว่า "มันจะดีขึ้นเรื่อยๆต่างหาก"

ทุกวันนี้ Search อย่าง "Google" ได้สร้างบรรทัดฐานให้กับ คุณภาพของ Web site "เพราะดูจากจำนวน Link ภายนอก"..ซึ่งจุดนี้หมายความว่า "Web site" คุณต้องเป็นที่นิยมจริงๆ จึงจะมีคนอื่น link เข้ามาหรือ เอาเนื้อหาคุณไปอ้างอิง (จุดนี้เอง ผมว่า มันเป็นก้าวแรกของ คุณภาพของเนื้อหาที่ดีขึ้น)--ที่จะพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการถูกจัดอันดับต้นๆใน Web Search ย่อมหมายถึง Web site ของคุณได้ถูกคนส่วนใหญ่ approveยอมรับ "ไม่ใช่อย่าง ทีวี หรือ วิทยุในปัจจุบันที่อำนาจการจัดอันดับจะอยู่เจ้าของ อะไรประมาณนั้น"

ก้าว ต่อไป ผมว่า "มันจะไม่ใช่แค่การจัด คุณภาพของแต่ Web site เหมือนอย่างที่ Google ทำ ..มันจะต้องลงลึกลงไปใน "เนื้อหา" เช่น เราสามารถพิมพ์ เหมือน คำถามที่เราอยากรู้ จากนั้นคนกลางเช่น Google ก็จะตอบทุกเรื่อง (แต่ประเด็นไม่ใช่ ง่ายๆ ที่จะไปจ้างคนมานั่งตอบ เพราะนั่นจะมีความลำเอียง Bias --ดังนั้น ประเด็นจึงต้องเป็นอย่างที่ Google ทำคือ ต้อง Link จาก "สังคมส่วนใหญ่เป็นคนตัดสิน" ..ดังนั้น ความยากมันจึงอยู่ที่ "คำถามที่ถามนั่นเอง" เพราะหัวข้อเดียวกัน "ร้อยคนอาจมี การถามไม่เหมือนกันเลย --แล้วคุณจะทำอย่างไรให้ทั้ง ร้อยคำถามที่ถามไม่เหมือนกัน..แสดง "ผลลัพธ์" เหมือนกันได้ (ช่องว่างนี้ผมมองว่า Google ได้เปิดโอกาสให้คนทั่วโลกเข้ามาแข่งขันแล้ว ..ไม่แน่ว่า Billionaire คนต่อไป อาจเป็นคุณ หรือ ลูกคุณ ก็ได้ ถ้าสามารถ "เติมเต็มช่องว่างตรงนี้" (ก็ดูกันต่อไปครับ)..

หนังสือ Super Crunchers


เล่ม นี้ เปิดมุมมองใหม่ๆ ทางด้านการเชื่อมโยงระหว่างข้อมูล เช่น เอาปริมาณฝนตกในแต่ละปี มาทำนายคุณภาพของ ไวน์ (เนื่องจากปริมาณฝนมีผลต่อ องุ่น) ซึ่งการหาจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่ต่างกัน "เรียกได้ว่าเป็น Innovation ทางความคิดเลยทีเดียว"

หนังสือเล่มนี้มีแนวคิดหลักที่ว่า "ทุกอย่างในโลก สามารถพยากรณ์ได้ เพียงแต่เราต้องหาจุดเชื่อมโยงให้ได้เท่านั้น"...แต่จะว่าไปแล้ว การหาจุดเชื่อมโยงมันเป็นอะไรที่ยากมากๆ

เพราะบางเรื่อง อาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรา "ไม่คาดคิด" อย่างเช่น เรื่องแรก ในหนังสือ ที่เชื่อมโยงปริมาณน้ำฝน กับ คุณภาพของไวน์ ที่ผลิตในแต่ละปี ซึ่งนักวิจัยคนนึงได้ ทำการศึกษาอย่างละเอียดถึง ผลกระทบของปริมาณน้ำฝนที่มีผลต่อ ต้นองุ่น ซึ่งท้ายสุด จะส่งผลถึง รสชาติและคุณภาพของไวน์

ซึ่งแนวคิดนี้ สามารถไปใช้กับ เรื่องจริงได้อย่างมากมาย ..ประเด็นคือ คุณต้องคิดให้รอบด้านก่อนที่จะ วิเคราะห์ นั่นเอง เช่น คุณภาพของอาหารอาจขึ้นกับฤดูกาล เพราะแต่ละฤดูก็จะมีผลต่อวัตถุดิบของอาหารที่ต่างกัน ..หรือ สภาพแวดล้อม อาจมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งในอีกมุม คือ เมืองที่คนๆนึงอยู่อาจมีผลต่อ พฤติกรรมของคนๆนั้น ทั้งชีวิตก็ได้ ...

ก็สรุปว่า เป็นหนังสือที่น่าสนใจ (ถ้ามีเวลา!!)...

หนังสือ Confessions of an Economic Hit Man


เล่มนี้ เกี่ยวกับ "มือปืนทางเศรษฐกิจ" ที่มาเล่าเรื่องราว ของอเมริกาที่ใช้คนเหล่านี้ไป เบียดเบียนผลประโยชน์ในทรัพยากรล้ำค่าของประ เทศด้อยพัฒนา ...เช่น เอาการสร้างถนน สร้างเขื่อน ไฟฟ้า ไปแลกกับ "น้ำมัน" (สรุปเงินก็ไหลกลับ กระเป๋าของบริษัทอเมริกันเหมือนเดิม โดยได้ทรัพยากรมา "ถูกๆ" ..

เรื่องคร่าวคือ นาย John ผู้เขียนนี้ เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ทำงานวิจัย ให้องค์กรระหว่างประเทศ ก่อนที่จะถูก Recruit เข้ามาทำงานเป็น ETM (Economic Hitman)

ซึ่งหน้าที่หลักๆของเขาก็คือ จะถูกส่งไปตามประเทศที่มีทรัพยากร มหาศาล เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน --ภารกิจที่สำคัญก็คือ การเข้าไปต่อรองกับผู้นำประเทศ (ซึ่งประเทศเหล่านี้มักมีผู้นำเผด็จการทหาร) ดังนั้น การต่อรอง จึงเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งหลายๆคนมองว่า "ประเทศตะวันตกเอาเปรียบในทุกอย่าง" เช่น การแลกน้ำมัน กับการไปสร้างถนน , สร้างเขื่อน หรือ การสร้าง สาธารณูปโภค ให้กับประเทศด้อยพัฒนา

ปัญหาที่เกิด มักจะเป็น การเอารัดเอาเปรียบ รวมทั้งเอื้อผลประโยชน์ แก่บริษัทก่อสร้าง เรียกได้ "เงินไม่มีรั่วไหลไปไหน" นอกจากนี้ การขุดทรัพยากรในประเทศเหล่านี้ จะไม่สนใจสภาพแวดล้อม เพราะไม่ต้องปฏิบัติตามกฏอะไร (เนื่องจากไม่มี) ส่งผลให้ ธรรมชาติและระบบนิเวศของประเทศเหล่านี้ ถูกทำลายไปอย่างมหาศาล

หนังสือ เล่มนี้เป็นเหมือนการ เล่าเรื่องในฐานะ "นักผจญภัย ผู้ล่าแห่งระบบทุนนิยม" ที่ใช้ การค้าและเงิน เป็นอาวุธ ...มันก็เท่ห์ดีนะผมว่า!! ..หุ หุ หุ.. แต่ในแง่ของศีลธรรม อันนี้แล้วแต่จะมอง...

หนังสือ Why Smart People Make Big Money Mistakes


เกี่ยว กับ behavioral Finance คือ การทำความเข้าใจ ว่าทำไม "เราถึงขายหุ้นในเวลาที่ไม่ควรขาย และซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อที่สุด" อะไรประมาณนั้น ..อ่านเพื่อเข้าใจตัวเอง (ชีวิตมันก็ งง อย่างนี้แหละครับ) "ผมว่าใครยิ่งพยายามเข้าใจตัวเอง คนนั้นก็ยิ่งเก่งนะ"...

(แนวคิดข้างเคียง)

ทำไมเรามัก"ขายหุ้น"ในเวลาที่ไม่ควรขายที่สุด

นี่เป็นเรื่องปกติ "ขายในเวลาที่ไม่ควรขายมากที่สุด" ก็เพราะเรา "เป็นมนุษย์" นั่นเอง --- ดังนั้น การซื้อขายจึงใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินโดนส่วนใหญ่ --ยกตัวอย่างในตลาดหุ้น บางครั้งหุ้นตกน้อยๆ เราก็มองว่าไม่เป็นไรถือต่อ(เดี๋ยวมันก็ขึ้น) -- ((พอหุ้นตกต่อ)) เราก็ยังคงไม่ขาย และยังเชื่อว่า (เดี๋ยวมันก็น่าจะขึ้น)..(((พอหุ้นตกต่อไปอีก))) เราก็ยังคงไม่ขาย และยังเชื่อว่า (เดี๋ยวมันก็อาจจะขึ้นนะ(ลังเลหนักขึ้นเรื่อยๆ))..(((((พอหุ้นตกต่อ"หนัก" เข้าไปอีก))))) --ในที่สุด (ราคาหุ้นลงไปต่ำมาก) เราก็ตัดสินใจขาย เพราะกลัวว่ามันจะตกต่อไปอีก -- (พอเราขายเท่านั้น!!! -- หุ้นก็เริ่มวิ่งกลับไป วิ่งขึ้น และก็วิ่งขึ้นไป เลยราคาก่อนตกไปเสียอีก) --"นี่คือ ตัวอย่างปกติที่ ผมว่า คนเล่นหุ้น ทุกคนเคยเจอกับตัวเอง--(แต่ไม่เคยจำ)"

ดังนั้น ถ้าเราไม่อยาก "ขายในเวลาที่ไม่ควรขายมากที่สุด" เราต้อง "ตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป แล้วใช้ข้อมูลและเหตุผลมาวิเคราะห์เท่านั้น" -- เช่น ถ้าเราวิเคราะห์ว่า ตลาดในประเทศไทยตอนนี้ (ถูกกว่าตลาดเพื่อนบ้าน) แถมยังให้ผลตอบแทน ปันผล ดีกว่าตลาดอื่นๆ --(คุณก็ไม่ควรขายจริงไหม) เพียงแต่รอให้ตลาดปรับตัวกลับมาที่จุดที่น่าจะเป็น "เราก็รวยแล้ว"

(เพิ่มเติม) ในปัจจุบันตลาดเรายังมีหุ้นที่ราคาถูกมากมาย สาเหตุเพราะตั้งแต่ปี 1997 "ต้มยำกุ้ง" ทุกคนยังเข็ดขยาด โดยเฉพาะคนไทย "นักลงทุนรายย่อย" ที่เคยเสียจนหมดตัวในคราวนั้น ต่างให้คำมั่นกับตัวเอง ว่า"ชีวิตนี้เขาจะไม่เล่นหุ้นอีก และสอนลูกหลานว่า "ไม่ให้เล่นหุ้น"

-- มีคำพูดจากนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ กล่าวว่า "เมื่อทุกคนไม่สนใจ และหนีจากตลาดหุ้น --- นี่แหละคือเวลาที่ควรเล่นหุ้นมากที่สุด " ผมขอฟันธง ณ วันนี้ เลยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดจะกลับขึ้นไป เหมือนก่อนที่เราจะเกิดต้มยำกุ้งอีกครั้ง (และเมื่อนั่น เหล่า"แมลงเม่า" ลูกหลานของคนที่เคยเจ๊ง จะเข้ามา ซ่า และในที่สุดแล้ว คนเหล่านี้ก็จะ เจ๊ง เหมือนกับ "แมลงเม่ารุ่นพ่อ"ของเขานั่นเอง ฮิ ฮิ.).. ตลกดี....(ไม่ขำเลย)...