แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" โดย ภาววิทย์

หนังสือที่ได้รับความนิยมใน Blog นี้

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เศรษฐศาสตร์การ up ค่าตัวของ “อาชีพค้าบริการ!!” ยิ่งแพงยิ่งขายดีนะเนี่ย



ไปหยิบ “Superfreakonomics” ของ Levitt มาจาก Asia books ..อ่านปั๊บ โดน!!ตั้งแต่คำนำ ชอบตั้งแต่เล่มแรกแล้ว นี่อ่านเล่มสองยังไม่จบแค่บทแรกก็มีเรื่องมาเล่าแล้ว

จริงๆนะ ผมอ่านหนังสือหลายแนวมากๆ ที่ชอบพิเศษคือ ที่อ่านแล้วเกิดจินตนาการ ..ปกติผมจะอ่านหนังสือค่อนข้างเร็วถึงเร็วจัด (ไม่ได้มาโม้) แต่ผมเห็นความเด็ดจากการอ่านนะ บางครั้งอ่านคำนำ เราก็เกือบจะรู้เรื่องทั้งเล่มแล้ว เพราะหนังสือโดยมากมี Theme เดียว หรือ Idea เดียว ..ถ้าแบบนี้ผมไม่ซื้อ แอบยืนอ่านก็พอแล้ว ..หุ หุ (เปลืองเงิน)

แต่พวกหนังสือที่อ่านแล้ว ก่อให้เกิด idea เช่น Freakonomics เอ๋อ!! ว่าแต่ หนังสือของผม “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” ก็ใช่ย่อยนะ(โฆษณาหน่อย..อิ อิ)

ว่าด้วยเรื่องเศรษฐศาสตร์ หลายคนเห็นก็วิ่งหนีแล้ว “เบื่อ!!” แต่เดี๋ยวนี้ เริ่มมีแนวเศรษฐศาสตร์ที่อ่านแล้วสนุกออกมามากมาย ซึ่ง Original ก็ Freakonomics นี่แหละ เล่ม 2 นี้ขึ้นบทแรกมาก็ชอบเลย “เศรษฐศาสตร์แห่งโสเภณี!!”
เขาบอกว่า อาชีพนี้แปลก หญิงอเมริกัน โดยเฉพาะ Chicago เป็น โสเภณี คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากเทียบกับประชากร ทั้ง Part-time /Full-time “พูดแค่นี้ หลายๆคนเตรียมตีตั๋ว ไป Chacago กันเชียว…(ช้าก่อน!!)” ไม่ต้องรีบครับ .. มาดูกันว่าอาชีพนี้มันแปลกยังไง

คือรายได้ของ “หญิงบริการ” นี่นับว่าสูงมาก หากใครไม่ติดยา เขาบอกว่าขนาดตั้งตัวได้ทุกคน ..แต่พอเอาเข้าจริง ติดยาเกือบหมด “สรุปเงินได้มาง่าย มันเก็บไม่ได้ (สัจธรรม)”

ผู้เขียน Levitt ได้เผอิญ ได้รับการติดต่อจาก “Prostitute ระดับไฮโซ” ที่ชอบอ่าน Freakonomic คือ หล่อนอยากให้ input แก่อาจารย์ Levitt ให้ลึกขึ้น!! (อย่าคิดลึก) …. “Prostitute ระดับไฮโซ” ที่ว่าเป็นหญิงมีการศึกษาดี แต่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องครอบครัว (ซึ่งจริงๆแล้วถ้าดูจาก สถิติ คนอเมริกันมีสถิติความล้มเหลวในเรื่องชีวิตคู่สูงมาก..เฮอะๆๆ หลายคนคงอยากตีตั๋วไปอเมริกากันอีกรอบแล้วซิ “ช้าก่อน!!”)

“Prostitute ระดับไฮโซ” คนนี้ ทำเพราะ “เงินดี + ชอบ SEX” รายได้ก็สูง งานเบา แถมสนุก แต่ที่ต่างจากหญิงบริการทั่วไปคือ เธอเก่ง IT จึงเปิด Website ขึ้นมาเป็น Agent ของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งแมงดา ( Pimp ) …คือ โดยปกติที่เขาทำวิจัยกันมา พบว่า หญิงขายตัวที่ work กับแมงดา จะมีรายได้ดี แถมโอกาสโดนซ้อมต่ำ !!…ทั้งนี้ก็เพราะ แมงดา พวกนี้มักรู้จักคนในระดับที่สูงกว่า รวมทั้งการคิดค่าบริการใน “ลีลา” ต่างๆ คิดเงินไม่เท่ากัน ดังนั้น พวก Pimp จะจูงใจลูกค้าใช้เลือก ท่าพิเศษ “จ่ายแพงขึ้น” ฮ่า!!นั้นคือสาเหตจูงใจที่ pimp เฟื่องฟู

อาจารย์ Levitt เอาอาชีพ pimp (ซึ่งก็คือนายหน้าประเภทหนึ่ง) มาเทียบกับอาชีพ Real Estate Agent …ปรากฏว่า คุณรู้ไหมใครสร้างประโยชน์ให้ลูกค้าได้มากกว่า “ถูกแล้ว Pimp ครับ!!” --- อันนี้เพราะ Real Estate Agent ไม่ได้สามารถ up ราคาบ้านได้ดีกว่าขายผ่าน “Internet ซึ่งค่า Com ต่ำกว่ามาก” (ดังนั้น ขายบ้านคราวหน้าให้ขายผ่าน net แต่ถ้าคุณขายบริการ ให้ใช้บริการ แมงดา …อิ อิ (คำแนะนำจากอาจารย์ Levitt น่ะครับ)

กลับมาที่ “Prostitute ระดับไฮโซ” ที่พูดถึง คือ เธอไม่ใช้ Pimp แต่เธอหาลูกค้าเองผ่าน การทำความรู้จักเอง “ด้วยเหตุที่ทำตามใจ” ทำให้รายได้ของเธอไม่ได้พึ่งพึงกับปริมาณงาน -- จุดนี้ทำให้เธอ Up ค่าตัวแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เธอพบกลายเป็นว่า กลุ่มลูกค้าของเธอกลับมีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ และ Price insensitive (คือ Up price แต่ Demand ไม่ลดลง) ..สรุปเธอจึง Up ค่าตัวต่อชั่วโมงสูงขึ้นเรื่อยๆ ---ทำให้้รายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคุณภาพของลูกค้า ที่เดิมตอนคิดค่าบริการถูกๆ ลูกค้ามา “ตู่ม!!ปลดปล่อย..สุดขีด” ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงแห่งการใช้บริการ

วันนี้ลูกค้า พาเธอไปกินข้าว (ได้หลายชั่วโมง ได้กินอาหารแพงฟรีๆ แถมไม่เจอพวก low ที่ใช้พลังรุนแรง!!)
…เปลี่ยนตลาด เปลี่ยนชีวิต (ทุกวันนี้เธอ กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็น Real Estate Agent ) -- ฮึม!! น่าสนใจทีเดียว แปลกแต่จริง..

ลองคิดซิครับ จุดนี้สอนอะไรเราในการ ทำธุรกิจ “ทำแบบ Louis Vuitton ไง (ยิ่งแพง ยิ่งดูมีค่า คนก็ยิ่งซื้อ)…อ่าฮ้า!!”

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet"


"หนังสือเล่มแรกของผมคลอดแล้วคร้าบ!! (เหนื่อย..แต่เห็น Feed back ของผู้อ่านแล้ว ก็หายเหนื่อยครับ!!)"

สารบัญ (แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet) โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม .. “ขอฝากหนังสือเล่มแรกของผมด้วยครับ!!”
นี่คือตัวอย่างสารบัญของหนังสือผม เริ่มจากการมองภาพกว้าง ไปจนกว้างเข้าไปอีก ..พูดง่ายๆว่า หากเรารู้ภาพใหญ่ภาพเล็กก็แทบจะไม่สำคัญ (ภาพเล็กคือ การทำกำไรแบบน้ำจิ้ม ..แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่สนใจภาพใหญ่ เล่นแต่ภาพเล็ก ในที่สุดก็เจอความผันผวนที่น่ากลัวของตลาดหุ้น) ผมกำลังพาท่านร่วมเดินทางในมุมมองของ Coach (เพราะคุณนั่งอยู่นอกสนาม คุณจึงเห็น Pattern ของการเล่นของนักบอลหรือ “เห็นภาพรวม และหาโอกาสจากตลาดได้”) นักเตะไม่ว่าจะมีความสามารถเฉพาะตัวแค่ไหน ก็ยังต้องฟัง Coach อยู่ดี --หนังสือเล่มนี้จะเป็นการ Provide ภาพของ “Coach” (ยังไง ก็ขอฝากหนังสือเล่มนี้ ไว้เป็นอีกมุมมองหนึ่ง ที่จะช่วยเติมเต็มภาพรวมหรือ ความสำเร็จของท่านผู้อ่านนะครับ)
“ (หนังสือ แกะรอยหนักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet) โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม --จะซื้อได้ทาง Website www.stock2morrow.com (ไม่ได้วางขายทั่วไปครับ)…เพื่อเป็นการลดต้นทุน เพื่อสร้างงานคุณภาพในราคาไม่แพงครับ..(สาระแน่น แต่ราคาเพียง 175 บาท “คุ้มสุดขีด..ฮิ ฮิ!!”..สั่งส่งถึงมือคุณ!!--ยังไงฝาก ผู้ที่ติดตามผลงานของผม ช่วยกันอุดหนุนกันด้วยนะครับ…หุ หุ -- ถ้าท่านอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็ช่วยบอกต่อด้วยนะครับ…(ขอบคุณล่วงหน้าเลยละกัน)
สารบัญ (เนื้อหาแบบ ซ๊อต เอสเปรสโซ่ คือ “สั้นได้เนื้อ แบบแรงๆ” อ่านกันดู)
• ตอนที่ 1 : หลุมพลางของ การลงทุน
• ตอนที่ 2 : คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ "อยากได้กำไรเยอะๆ เร็วๆ" ---คิดถูกหรือไม่?
• ตอนที่ 3 : อยากรวยเร็วทำอย่างไร
• ตอนที่ 4 : "เล่นหุ้นอย่างไรที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนสูง"
• ตอนที่ 5 : ทำไมเรามัก"ขายหุ้น"ในเวลาที่ไม่ควรขายที่สุด
• ตอนที่ 6 : "ผมว่าการลงทุนในหุ้นบ้านเราต้อง" วัดเมื่อขาย “ไม่ใช่วัดเมื่อซื้อ”
• ตอนที่ 7 : ภาพใหญ่ตลาดหลักทรัพย์ไทย SET
• ตอนที่ 8 : Go for BULL Market !
• ตอนที่ 9 : Trend ประชากรของโลกบอกอะไรเรา
• ตอนที่ 10 : Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 1)
• ตอนที่ 11 : Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 2)
• ตอนที่ 12 : Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 3)
• ตอนที่ 13 : อนาคตน้ำมัน--รุ่งหรือร่วง?
• ตอนที่ 14 : "Commodity Bullish--Stock Bearlish"
• ตอนที่ 15 : เรียนรู้ที่จะอยู่(ลงทุน)กับ "ความวุ่นวาย"
• ตอนที่ 16 : เรื่องของทองที่ “ต้องรู้” !!..จาก National Geographic
• ตอนที่ 17 : Trend ใหม่ของโลก "ย้ายจากสงครามโลก สู่ยุคสงครามกลางเมือง"
• ตอนที่ 18 : "ตีแตกอสังหา" สไตล์ LPN
• ตอนที่ 19 : เรียนรู้จาก SCASSET “ต้นทุนที่ไม่ธรรมดา”
• ตอนที่ 20 : ความเชื่อที่ว่า "ซื้อที่ดินยังไงก็ไม่ขาดทุน" คุณเชื่อมั๊ย?"
• ตอนที่ 21 : ปัญหาสิ่งแวดล้อม กับโอกาส
• ตอนที่ 22 : "น้ำ" เรื่องทำเงินใกล้ตัวที่เรามองข้าม!!
• ตอนที่ 23 : ทางรอดของเศรษฐกิจโลก ดอลลาห์ หรือ หยวน
• ตอนที่ 24 : "จีน" กับ "อินเดีย" โตแบบไหนดีกว่ากัน
• ตอนที่ 25 : เติบโตแบบ "ซามูไร" (แนว"แก่รวยกระจุกตัว")
• ตอนที่ 26 : ยุโรปกับอเมริกาใครกำลังจะรุ่ง..
• ตอนที่ 27 : งานสำหรับคนแก่ ช่องว่างที่ยังไม่เต็ม
• ตอนที่ 28 : ทำธุรกิจ กับ เล่นหุ้น อะไรที่เหมาะกับคุณมากกว่า
• ตอนที่ 29 : คนชั้นกลาง กำลัง หดตัวลง --คุณจะปรับตัวอย่างไร ให้คุณไม่จนลง เหมือนคนอื่น
• ตอนที่ 30 : เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง --ความมั่งคั่งจะเปลี่ยนมืออย่างไร
• ตอนที่ 31 : World Billionaires วัดความรวยกันที่ไหน
• ตอนที่ 32 : ตลาดหุ้นขึ้นใครรวยที่สุด
• ตอนที่ 33 : "ให้ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง"
• ตอนที่ 34 : โอกาสในการลงทุนหุ้น "ADVANC" (กำไรบนความเสี่ยง)
• ตอนที่ 35 : ปี 2553 จะเล่นหุ้นอย่างไรให้ได้กำไร
• ตอนที่ 36 : ตลาดกำลังแย่ - จริงหรือ ?
• ตอนที่ 37 : "จำนวนคนโดดตึกตาย"--ดัชนีวัดความ Bubble ของตลาด
• ตอนที่ 38 : การวัดค่าความสำเร็จของ "จีเมริกา" (จีน+อเมริกา)
• ตอนที่ 39 : "foreign exchange reserves ของไทยมีมากกว่า อเมริกาอีก"
• ตอนที่ 40 : "เงิน"กับเศรษฐกิจโลก
• ตอนที่ 41 : คุยเฟื่องเรื่องธนาคารต่างชาติ
• ตอนที่ 42 : เห็น "กงจักร" เป็น"ดอกบัว"
• ตอนที่ 43 : ผู้ประกอบการไทยกับการทำนายอนาคตของประเทศ
• ตอนที่ 44 : คนจนยิ่งจน
• ตอนที่ 45 : "Mutual Funds "ในบ้านเราน่าลงทุน(จริงหรือ)
• ตอนที่ 46 : ใครสามารถเปิด"กองทุน"เวลานี้ได้..สบาย (รวยเละ)
• ตอนที่ 47 : โรงกลั่นเคลือ ปตท. PTTAR/ IRPC / TOP /PTTCH
• ตอนที่ 48 : เทคนิค "เล่นหุ้นปั่น" ที่เสี่ยงน้อย
• ตอนที่ 49 : แบบตรวจสอบความเป็น"แมลงเม่า" ของคุณ
• ตอนที่ 50 : ภาพลวงตาของค่าเงิน..คุณก็เลยโดนมันหลอก(ยังขนลุกอยู่เลย)!!
• ตอนที่ 51 : เกาะตลาดหุ้นใน "ภาวะฝรั่งฝ่อ ไทยสู้" by pawawit (นี่เอาวิเคราะห์จากบทความ ณ วันที่(15 June 2010) จาก Blog ผม ที่ http://pawawit.blogspot.com มาฝาก)
• ตอนที่ 52 : คนฉลาดแสร้งโง่ คนโง่อวดฉลาด
• ตอนที่ 53 : อายุเท่าไหร่จึงจะประสบความสำเร็จ(ใช้ Compounding interest!!)
• ตอนที่ 54 : เราอ่านประวัติคนที่สำเร็จ แล้วทำบ้าง แต่แล้วเราก็ไม่เห็นสำเร็จ
• ตอนที่ 55 : ธุรกิจที่น่าจับตามอง (โอกาสเติบโตสูงในอนาคต)
• ตอนที่ 56 : หุ้น CPALL(7-11) ราคา P/BV ตั้ง 6 เท่าแล้ว ทำไม "ดร.นิเวศน์ ไม่ยอมขายซะที"
• ตอนที่ 57 : เมื่อไหร่ที่ควรซื้อ CPALL
• ตอนที่ 58 : Real estate Agent อาชีพที่สร้างบนฟองสบู่
• ตอนที่ 59 : การทำเงินในตลาดหุ้นต้องรู้จัก “ตั้งข้อสงสัย”
• ตอนที่ 60 : ปัญหาของ "คนใหญ่โต" คือ "โรคหูปิด"
• ตอนที่ 61 : จุดบอดของผู้นำ"ที่ยิ่งใหญ่"(ไม่เข้าใจ)
• ตอนที่ 62 : “คุณคิดว่าสงคราม(ใช้สื่อ)ระหว่างรัฐบาลกับทักษิณแน่แล้ว”-- ไม่ใช่เลย “OBAMA เก๋ากว่าเยอะ” เขาถึงเป็นเบอร์ของ 1 ของโลกไง
• ตอนที่ 63 : คุณควรเรียนอะไรจาก Google , YouTube และ FACEBOOK
• ตอนที่ 64 : จุดจบ “การตลาด” กับการแจ้งเกิดของ “Product is Everything”
• ตอนที่ 65 : แกะรอย Google ในเมืองไทย
• ตอนที่ 66 : เอา "Long Tail" มาเล่าให้ฟัง
• ตอนที่ 67 : ตลาดที่กำไรที่สุด "Mass Luxury"
• ตอนที่ 68 : นักธุรกิจรุ่นใหม่
• ตอนที่ 69 : ปัญหาของ "คนรุ่นใหม่" กับ "องค์กรแบบเก่า"
• ตอนที่ 70 : หลายคนถามผมว่าเรียนต่อ "ปริญญาโท-เอก" ดีไหมล่ะ??
• ตอนที่ 71 : "ตู้เย็นมือถือราคาพันกว่าบาท รถยนต์หมื่นบาท" ต้อง Bottom-up Innovation เท่านั้น
• ตอนที่ 72 : “Tata ถึง Bill Gates”-- Social Enterprise ตัวพ่อ (คำตอบที่ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร)
• Appendix สรุปวิกฤติประเทศไทย ตั้งแต่เปิดตลาดจนปัจจุบัน โดยพี่ Looking (เจ้าของ Web ชื่อดัง www.stock2morrow.com ) “ถ้าไม่รู้ภาพใหญ่ เราก็ไม่ต่างจากแมลงเม่า”

ซื้อหนังสือ คลิ๊กได้ที่นี่ www.stock2morrow.com (ขอบคุณครับ!!)
(ปล. ใครจะเอาลายเซ็นต์ผมด้วย บอกที่สั่งไว้ด้วย "อยากเซ็นต์จัง"--แต่คนอ่านอาจไม่อยากได้… หุ หุ หุ)

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ Bakery & I --("สุกี้"กับ Bakery ที่กินไม่ได้ !!)


ผมได้อ่าน "Bakery & I" หนังสือของคุณ สุกี้ (หนึ่งในสามอรหันต์แห่งค่าย Bakery Music ผู้ปฏิวัติวงการเพลงไทยตลอดกาล) ..รู้สึกว่า "ได้อะไรเยอะมาก!!" แต่อย่างแรก ขอบคุณทั้งสามคนนี้จริงๆ ที่ทำให้ RS กับ Grammy สร้างนักร้องและเพลงที่มีคุณภาพมากขึ้น "ขอบ่นก่อนนะว่า ย้อนไปไม่ถึง 10 ปี ผมทนนักร้องของค่าย RS ไม่ได้จริงๆ.."คิดแล้ว ปี๊ด!!" (แต่เดี๋ยวนี้เขาดีแล้ว แถมเอาบอลโลกมาให้เราดูอีก ..ยังไงต้องยกเครดิตให้ "คุณสุกี้" อยู่ดี เพราะของจะดีมันต้องมีการแข่งขัน

เรื่องราวการเดินทางของ Bakery มันได้ย้อนมาสร้างความมั่นใจใน การแบ่งประเภทกิจการที่ผมเคยแบ่งไว้ 3 ประเภท (Me too/ Value Added / Innovation)..จุดนี้ลองมาดูซิครับว่า Bakery Music ที่สร้างตัวเองอย่างแตกต่าง ทั้งแนวเพลง ปกเทป คุณภาพเพลง ตัวศิลปินที่มีความเจ๋งในตัว การโปรโมทที่ใช้การแสดงสด + Word of Mouth(เป็นหลักในการขับเคลื่อน)

--ที่ว่ามาทั้งหมดเพื่อจะชี้ว่า Bakery Music แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ Innovation นะแต่เป็นแค่เพียง Value Added --แต่ค่ายที่เป็น Innovation น่ะคือ Grammy เพราะ (เต๋อ)กับ(อากู๋) นี่แกสร้าง Grammy มาตั้งแต่ยังไม่มีอุตสาหกรรมเพลงในประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ เริ่มจาก คุณเต๋อ แกนั่งเกากีตาห์อยู่หลังห้องโรงเรียนเซนต์คาเบรียล (แกเป็นรุ่นพี่ผม "ภูมิใจจริงๆ")..จากเด็กหลังห้องก็กลายเป็นตำนาน ผู้ก่อตั้ง Grammy มันจึงเป็น Innovation ที่ไม่ธรรมดา (แม้ในบางยุค เพลงจะ "ห่วย"บ้างเล็กน้อย แต่แล้วก็สามารถผ่านมรสุมมาได้)

กลับมาที่ Bakery ก็นับว่า เป็นการรวมตัวของคนหนุ่มไฟแรงสร้างกิจการด้วยความเชื่อมั่น และได้ผ่านวิกฤตถึงสองครั้ง ก่อนที่ทั้งสามคน จะปิดตำนาน ลาออกจาก กิจการที่ตัวเองก่อตั้งในที่สุด(เหมือน Steve Jobs อ่ะ..หุ หุ) --ความสำเร็จใน Bakery ในอดีต ผมมองว่าเป็นการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และมันเป็นสิ่งที่เป็นช่องว่างของตลาด (ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้ว การผลิตเพลงที่ไม่ใช่กระแสในตลาด มันเสี่ยงต่อการเจ๊งอย่างมากทีเดียว)

จุดที่น่าสนใจคือ การเข้ามาร่วมทุนของ BMG ที่ดึง Bakery ออกจากวิกฤตที่ถึงขั้นเกือบล้มละลายถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกร้อยล้าน และครั้งที่สองอีกสี่สิบล้าน ..สิ่งที่น่าคิดคือ "ฝรั่งมันเอาเงินมาลงทุนทำไม!!" เพราะการเข้ามาในครั้งแรก เป็นการเติมน้ำเลี้ยงให้กับกิจการที่ขยายเกินตัว ให้ขยายเกินตัวเพิ่มเข้าไปอีก!!

เงินร้อยล้าน ที่เข้ามาร่วมลงทุนโดย BMG ทำให้ Bakery ขยายไลน์ออกสู่ นิตยสาร KATCH ค่าย Dojo รวมถึงทีวีอีกด้วย ซึ่งท้ายสุดกลับกลายเป็นปัญหากลับมาสู่การก่อ วิกฤตในครั้งที่สอง!! ..ซึ่งครั้งนี้ทาง BMG ตัดสินใจให้ทุนเพิ่ม แต่ส่งคนเข้ามาช่วยแก้ปัญหา --จุดนี้สร้างรอยร้าวอย่างมาก เพราะมีการปิดตัวทั้งหนังสือและทีวี รวมทั้ง Lay off พนักงานจำนวนมาก

ถ้าให้มองเป็น Shotๆ จะเห็นได้ว่า BMG เสี่ยงในเงินก้อนแรก คล้ายๆกับที่ Venture Capital ในอเมริกาใช้ คือ การปล่อยแล้วดูว่า กิจการใดที่ขยายแล้วสามารถอยู่ได้บ้าง ..ซึ่งนับเป็นมุมมองที่ฉลาด เพราะการได้ "กลุ่มนักธุรกิจดนตรีที่สุดโต่งอย่าง Bakery" เข้าทำการทดลองเปิด ธุรกิจในสายใหม่ๆ ก็ทำให้ฝรั่งได้เรียนทางอ้อมไปในตัว ด้วยเงินที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับดอลล่าห์ จึงไม่แปลกที่ฝรั่งสามารถโยนเงินก้อนแรกมาถามทาง จากนั้นก็ค่อย "ตัดเก็บปิด" ในเงินอัดฉีดก้อนที่สอง

แต่สิ่งที่พลาด!! ผมมองว่า (เกมนี้มันไม่จบ Loop) เพราะ Sony เข้ามาซื้อ BMG ไปเสียก่อน ..มิเช่นนั้น ผมว่า Bakery มีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะธุรกิจที่โตได้มันต้องมี (คน + เงิน) --จากวิกฤตทั้งสองทำให้ Bakery มีทั้งสองอย่าง แต่ที่สุด ก็พลาดที่จัวหวะและโอกาสนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การศึกษาประวัติของ Bakery มันเป็นอะไรที่สนุก และสะท้อน ภาพบางอย่าง ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตทุกๆคน "นั้นคือบริบทการแข่งขันของธุรกิจจะเปลี่ยนไป" จากเดิม Bakery แข่งกับ RS และ Grammy แต่ท้ายสุดคนที่ Bakery แพ้กลับเป็น "ผู้บริโภค" ที่เปลี่ยนพฤติกรรม โดยไม่มีใครซื้อ CD ฟังอีกต่อไป ฟังแต่ MP3 แทน--(จุดนี้ถ้ามองให้ดีมันน่ากลัว!!) เพราะถ้าคุณมองให้ดีๆ "ผู้บริโภคในอนาคต มีพฤติกรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทั้งลักษณะการบริโภค การกินอยู่ การทำงาน รวมทั้งในเรื่องของเวลา" --แน่นอน!! สิ่งเหล่านี้ ก็จะกลับมาเปรเปลี่ยนเป็น แนวโน้มการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ถ้าบริษัทใดไม่เข้าใจ ผมว่า"ตายลูกเดียว"

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ Microtrends


“Microtrends” เป็นหนังสือ แนวเจาะประเด็นความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนแปลงขึ้นใน “ตัวเรา” แต่เราไม่รู้ --มาบอกเรา ..ทำให้เรารู้สึกว่า “จริงๆ ..มันเป็นอย่างนั้นจริง” --Microtrends เป็นการ เจาะไปศึกษา ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมอเมริกา เช่น การขยายที่อยู่ของคนทำงานไปอยู่ชานเมือง แล้วก็ขับรถเข้ามาทำงานเป็นช่ัวโมง มันก็เป็น Pattern ของการเปลี่ยนแปลง ในการบริโภคน้ำมัน

ที่ใครๆพูดว่า คนอเมริกัน “Addicted to Oil” มันก็มาจากการที่คนอยู่บ้านที่ห่างกับที่ทำงาน จึงต้องใช้รถและนำ้มันอย่างมากมาย (แต่อเมริกาไม่ได้มีเมืองหลวงเพียงเมืองเดียวอย่างกรุงเทพ Trend นี้มันกระจายอยู่ทุกเมืองนั่นเอง)

ชีวิตการทำงานที่รีบเร่ง การสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้เรามีเวลากับ ความสัมพันธ์ Relationship เปลี่ยนไป …สิ่งเหล่านี้กระทบต่อ การแต่งงาน การเลือกคู่ หรือ พฤติกรรมชู้สาวในสำนักงาน (ซึ่งจริงๆแล้ว คุณอาจจะนึกว่า สิ่งแปลกๆที่คุณ(แอบ)ทำอยู่ มันเป็นเฉพาะคุณ การคบแฟนแบบแปลกๆ บางคน Open Relationship บางคนคบกันเพื่อบางอย่าง(ทำอะไรหรือ?) แต่นั้น “มันไม่ได้เกิดเฉพาะคุณ มันได้เกิดกับคนในวงกว้าง (เพียงแต่คุณไม่รู้)”

และการรวบรวบพฤติกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ในสังคมเหล่านี้ มันก็คือ สิ่งที่หนังสือ Microtrend ได้เข้าศึกษาสังคมอเมริกัน (ซึ่งน่าสนใจ และหลายๆอย่าง ผมว่ามันก็ได้เกิดขึ้น คล้ายๆกันในบ้านเรา) …ผมว่า ในอนาคตน่าจะมีหนังสือเล่มนึงที่เข้าศึกษาพฤติกรรมแปลกๆที่ส่งผลต่อ การใช้จ่ายและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ในบ้านเราบ้าง (เช่นที่บอกว่าคุณไปทำอะไร แปลกๆ ..การไปศึกษาว่า “ที่ไหน” มันก็สร้างธุรกิจ เพื่อรองรับ Trends ได้จริงป๊ะ !!)

มันคงจะสนุกดี ถ้าคุณสามารถเข้าใจ Trend ใหม่ๆของสังคม และสามารถเปิดธุรกิจเพื่อรองรับ พฤติกรรมนั้นๆ “ผมหมายถึงคุณจะรวย โคตรรวย!! หากคุณเข้าใจ สิ่งที่เปลี่ยนไปของ Trend สังคมนั่นเอง”

ในบ้านเราคุณสังเกตุไหมว่า “ผู้หญิงที่ทำงานเก่งในชุดทำงานแบบWhite Collar” แค่พูดผมเห็น “หลายๆคนน้ำลายไหล!! ทำไมเล่า!! …นี่แหละ Trend “Cougars” สาวใหญ่หน้าที่การงานดีในอเมริกา กลายเป็นจุดดึงดูดเด็กหนุ่มอเมริกันอย่างไม่น่าเชื่อ “นี่แหละ Trend กินเด็กในอเมริกา ---แต่เด็กมันก็อยากให้กินนะ” เอ๊ะ!! ผมว่า Trend นี่บ้านเราก็ … ไม่เบานะเนี่ย !! so interesting จริงๆง่ะ…..ไปอ่านต่อไป สนุกดี…

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ ANIMAL SPIRITS


"Animal Spirits" เป็นหนังสือ แนวนักสืบเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ อีกเล่มที่น่าสนใจ ..เป็นการมอง Economic โดยใช้ "สัญชาตญาณของสัตว์" เข้ามาร่วมคิด ---เพราะแนวความคิดของเศรษฐศาสตร์แขนงใหม่ มองว่า พฤติกรรมมนุษย์ จะส่งผลโดยตรง ต่อการตัดสินใจต่างๆ จึงทำให้ การวิเคราะห์และคาดการณ์ เศรษฐกิจและวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ มีความแม่นยำขึ้น

การคิด ทฤษฏี"สัตว์" จะมองที่ 5 ประเด็นหลักคือ
1.Confidence ความมั่นใจไร้สติของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการ คิด,ตัดสินใจ และแสดงออกอย่างมหาศาล

2.Fairness ความยุติธรรม ซึ่งเราก็รู้ๆ กันดีว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก --มันมีไม่รู้กี่มาตรฐาน ไม่ใช่แค่สังคม 2 มาตรฐานอย่างที่เราคิดกัน

3.Money Illusion คือ ความลวงตาของเงินที่ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะมองไม่ออกว่า แท้จริงเงิน มันสร้างขึ้นมาเพื่อลดมูลค่า ไม่ใช่เครื่องมือรักษามูลค่าอย่างที่เราคิดกัน!!

4.Corruption อันนี้ใกล้ตัวสุดๆ มันเป็นการโกงระดับชาติที่ส่งผลกระทบ ถึงคุณภาพของสิ่งต่างๆ รอบตัว เรียกได้ว่า "คนโกงนอนหลับสบายอิ่ม รวยพุ่ง!!-- ในขณะที่คนส่วนใหญ่รับผลกระทบที่เลวร้าย"

5.Stories คือ การผูกเรื่องราว ซึ่งมีผลสำคัญต่อการรับรู้ของคน เนื่องจากสมองคนมักจะรับสิ่งที่เป็นเรื่องราวได้เข้าใจมากกว่า ..มหาลัยดังๆอย่าง Harvard จึงเอาการเรียนแบบ Case study เป็นวิธีหลีกในการเรียนการสอนนั่นเอง

คนเขียนใช้ 5 ประเด็นหลักนี้มาเป็นเครื่องมือในการหาคำตอบของ คำถามที่น่าสนใจ เช่น ทำไมระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ/ ทำไมธนาคารกลางมีอำนาจเหนือระบบเศรษฐกิจ(ในบางครั้ง)/ทำไมมีคนตกงาน/ทำไมภาวะเงินเฟ้อแปรผกผันกับอัตราการว่างงานในระยะยาว/ ทำไมการตัดสินใจออมเงินเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้/ ทำไมตราสารทางการเงินและการลงทุนภาคธุรกิจมีความผันผวน/ ทำไมอสังหามีทั้งขึ้นและลง และ ทำไมคนบางกลุ่มยากจนเป็นพิเศษ

จริงๆแล้ว คำตอบและคำอธิบายของทุกสิ่ง "คุณสามารถคิดได้โดยไม่ต้องเรียนก็ได้ " เพียงแต่คุณจะต้องเข้าใจความรู้สึกของคน(ซึ่งก็คือตัวคุณเอง)..การตัดสินใจของคนจะใช้ อารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้ง (และก็มักจะตั้งอยู่ใน 5 ประเด็นที่กล่าวมาทั้งสิ้น)เช่น การผูกเรื่องราวเน่าๆของนักการเมืองผีปากกล้า จนทำให้คนเลือกเขาเข้ามาเพื่อ โกงกิน ซึ่งจุดนี้ส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตโดยรวมของคนส่วนใหญ่ ..และความไม่เท่าเทียม จึงเป็นเครื่องสร้างความแตกต่างแบบสุดโต่งระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้นเรื่อยๆ ..การศึกษาที่ไม่สูงของคนทำให้ไม่เข้าใจมูลค่าของเงิน ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจ ออมและลงทุนอย่างไม่สมเหตุสมผล ก่อให้เกิด Cycle ของความต้องการ และความตื่นตระหนกของ Flow ของเงิน --"แต่ท้ายสุด มันก็กลับมาที่ตัวของมนุษย์เองที่สร้างและทำลายทุกสิ่ง"

หนังสือ Dhandao Investor




"ให้ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง"

"ให้ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง" เป็นคำแนะนำจากหนังสือ DHANDHO INVESTOR โดย Mohnish Pabrai

-- ผมได้อ่านคำพูดนี้แล้วรู้สึกว่าโดนมาก เพราะเขาบอกว่า เศรษฐีของโลก อย่าง ลักษมี มิลตาล เจ้าของ Mittel กิจการเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ แม้แต่ Carlos Slim (คนที่ล้มแชมป์รวยสุดในโลกจาก Bill Gates ในปีนี้)เองก็มีแนวคิดที่ว่านี้เช่นเดียวกัน

-- ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจ พออ่านๆไปจึงถึงบางอ้อ ว่า สาเหตุที่ควรลงทุน "ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีความไม่แน่นอนสูง" เพราะการที่เราจะได้ซื้อหุ้นราคาถูก ย่อมเป็นช่วงที่นักลงทุนคนอื่นสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ สถานการณ์ ซึ่งแน่นอน เวลาที่หุ้นตกย่อมหมายถึง วิกฤตในขณะนั้น เช่น กลุ่ม PTT ช่วงที่มาบตราพุต โดนระงับ , กลุ่ม Telecom ช่วงที่มีการพาดพึงคดี เอื้อประโยชน์ คุณ ทักษิณ

แน่นอน การเข้าลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว ถือว่าไม่แน่นอน (กลัวกิจการเจ๊ง) แต่หากเราเข้าใจว่า แท้จริงๆแล้ว ธุรกิจที่เราลงทุนมีความเสียงต่ำ เราก็สามารถที่จะลงทุน

-- อย่าง PTT ถ้ามองให้ดี คือ ผู้ผูกขาดพลังงานของประเทศ ดังนั้น ไม่ว่าวิกฤตจะแรงแค่ไหน PTT ก็จะผ่านไปได้(เรียกว่ามีความเสี่ยงต่ำ) หรือ อย่างในกรณีของ ADVANC ผู้ให้บริการมือถือที่ใหญ่ที่สุด มีผู้ถือหุ้นมากมาย และมีเครือข่ายที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดในประเทศ ก็คือ ความเส่ียงต่ำ

ดัง นั้น ไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้าย ก็น่าจะผ่านไปได้ --- การเข้าซื้อในกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน(วิกฤต) ย่อมได้ ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากๆ และเป็นโอกาสที่จะได้กำไรสูงสุดนั่นเอง
คำถามที่เกิดขึ้นคือ "คุณกล้า ไหมล่ะ"

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือ MADE TO STICK


เรื่องเล่าตั้งแต่ โจรขโมย “ไต”ของชายคนหนึ่งที่ เผลอดื่มเหล้าหลับไป ตื่นมาอีกที “ไตของเขา ถูกขโมยไปเสียแล้ว !!” โดย โจรขโมยตับ

“ไขมัน”ที่อยู่ใน “ป๊อบคอร์น แต่ละถุง มีมากเท่ากับ “ไข่ดาวหมูแฮมในมื้อเช้า บวกกับ Big Mac บวกกับเสต็กมื้อเย็นรวมกัน” (บ้าไปแล้ว!!)

พวกนี้แหละครับที่เขาเรียกว่า MADE TO STICK คือ ใครได้ยินได้ฟัง จะ “สนใจ” เรียกได้ว่า “โดน!!” …เรียกได้ว่า เรื่องราวในโลกมีอยู่มากมาย ----แต่เรื่องราวที่จะ “สะกิดต่อมความสนใจ และขายได้ มันไม่ได้มีมาก”
---คำทำนาย นอสตราดามูส ผ่านมาสี่ร้อยปี ยังกล่าวขานกันจนปัจจุบัน ..หรือ เนื้อไก่ที่เอามาทำ นักเก็ต ของ แมคโดนัลด์ ที่โยนไก่ทั้งตัวเข้าเครื่องบด แล้วก็ ปั้นเป็นก้อนมาให้เรากิน …”เรื่องเหล่านี้ เตะต่อมความสนใจ ซึ่งนับเป็นการ โปรโมท หรือ ทำลาย สินค้าได้อย่างดี”

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่ การยก Case study ของ บริษัทที่สามารถสร้างสินค้าแบบ Made to stick (ให้ติดได้..) หลักการสำคัญที่ผู้เขียน สกัดออกมาเป็น ขบวนการ(ทำให้ติด)มี 6 ข้อคือ

1. (Simplicity) คือ Idea มันต้อง “ง่าย” อย่างเรื่องขโมยไตใครๆก็เข้าใจ แต่ลองเอาหัวข้อบรรยายของ ดร.ในมหาลัย ยกขึ้นมา …ก็ งง กันทั้งแถบล่ะผมว่า

2. (unexpectedness) คือ มันต้อง “ตื่นเต้น คาดไม่ถึง” เช่น นักเก็ตไก่ของ แม็ค มันบดไก่ทั้งตัว (จริงไม่จริงไปว่ากันทีหลัง..เอาความ “ตะลึงว่ากันก่อน)

3. (Concreteness) คือ “ชัดเจน” เพราะส่วนมาก Idea มันจะ (อึมคลึม) อย่างเวลาไปฟังบรรยาย “แล้วหาว” นั่นแหละ มัน อึมครึมจนง่วง..

4. (Credibility) นี่เป็น “ศาสตร์ของการทำให้เชื่อ” ..ความเชื่อไม่จำเป็นต้องเป็น Fact หรือ ความจริง มันอยู่ที่ผู้สื่อสาร และวิธีการสื่อสารมากกว่า ดังนั้น ตรงนี้ผมว่ามันต้องใช้การฝึกฝน อย่างโอบามาพูดอะไร คนคล้อยตามหมด หรือ อย่าง Oprah ยกสินค้าอะไรมาพูดในรายการ Talk show ..ขายดีหมด นี่แหละแจ๋ว

5. (Emotion) คือ สร้างให้เกิด “อารมณ์” ..ไม่ใช่ทะลึ่งนะครับ …มันคือ อารมณ์ร่วมใน ข้อความที่สื่อสาร เช่น การยกตัวอย่างของ ป๊อบคอร์น ในโรงหนังที่ บอกว่า มีไขมันบรรจุเท่ากับคุณกินอาหารมันๆทั้งวัน รวมกัน “นี่แหละครับ พอสาวๆฟัง ก็มีอารมณ์ …สยองในป๊อบคอร์นทันที”

6. (Stories) คือ Idea หรือ สินค้า จะน่าสนใจหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับ การถ่ายทอด ซึ่งธรรมชาติของคน ชอบเรียนรู้ผ่านเรื่องราว ดังนั้น ใครทำเรื่องราวของ Idea หรือ สินค้าได้น่าดึงดูด มันก็จะ (Stick) นั่นเองครับ


นี่แหละครับคร่าวๆ ส่วนใครชอบต่อยอดไปซื้อหนังสือมาอ่านดู (ผมสนับสนุนการอ่าน สำหรับสังคมไทย ..หลายคนกลัวว่าซื้อมาไม่มีเวลาอ่าน ผมว่าผิดประเด็นนะ เพราะจริงๆ มีเวลาเราก็ค่อยๆอ่าน ไม่ต้องอ่านต่อเนื่องให้จบ เปิดตรงไหนของเล่มมันก้ให้ Idea ทั้งนั้น ..”หนังสือมันคือ สมุดรวมความคิดและประสบการณ์” ดังนั้น อย่าไปยึดติดกับ สารบัญ แล้วคุณจะอ่านหนังสือสนุกขึ้นครับ) …และหลังจากหนังสือ ผมแนะนำไปต่อยอดที่ Blog ของคนเขียนหนังสือ ก็จะมีอะไรใหม่ๆเพิ่มเติม